เคยสัมภาษณ์กับ Marie Claire ตอนที่ละคร <Welcome to Waikiki 2> กำลังออนแอร์ หลังจากตอนนั้นมีอะไรเปลี่ยนไปบ้างไหมคะ?
แข็งแกร่งขึ้นนิดหน่อยครับ ตอนที่ถ่าย <Welcome to Waikiki 2>ทำให้ได้รู้จริงๆว่า การทำให้ใครสักคนหัวเราะเป็นเรื่องที่เหนื่อยมากๆ เพราะว่ามีช่วงเวลาแบบนั้น สิ่งที่เกิดขึ้นสำหรับผมก็เลยมีหลากหลายมากขึ้น ไม่ว่าจะมีสถานการณ์แบบไหนเข้ามา ก็ต้องสามารถผ่านมันไปให้ได้แบบสุขุม ก่อนหน้านี้ ถ้ามีเรื่องที่ไม่สามารถคาดเดาได้ก็จะตื่นตระหนกใช่ไหมล่ะครับ และก็ถ้ามีสิ่งที่เปลี่ยนไปจากเมื่อตอนนั้น ก็น่าจะโพสท่าต่อหน้ากล้องเวลาถ่ายทำนิตยสารได้ดีขึ้น? (หัวเราะ)
ท่ามกลางสิ่งที่ค่อยๆเปลี่ยนแปลง สิ่งที่ไม่เปลี่ยนไปเลย คือเรื่องอะไรคะ?
ไม่ใช่ว่าแสร้งพูดนะครับ แต่ผมยังคงต้องใช้เวลาปรับตัวกับสภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นชิน ผมคิดว่าการแสดงยังเป็นสิ่งที่ยาก และมีเรื่องที่บกพร่องอยู่อีกมาก มีเรื่องที่ต้องคิดเยอะด้วยครับ
ในบรรดาเรื่องที่คิดเยอะนั้น เรื่องที่คิดมากที่สุดคือ การแสดง ใช่ไหม?
‘อยากเป็นนักแสดงแบบไหนนะ?’ คำถามนี้มักจะเข้ามาเรื่อยๆตลอด พอมีความคิดว่ายังแสดงได้ไม่ดี ก็จะรู้สึกว่า เป็นเพราะผมขี้เกียจ แค่อ่านสคริปต์ไปเรื่อยๆ ไม่ได้แปลว่าเป็นคนขยันใช่ไหมล่ะครับ ผมคิดหนักว่าควรจะใช้เวลายังไงในชีวิตประจำวัน หรือช่วงเวลาที่ไม่มีงาน เพื่อที่จะแสดงออกมาได้ดี
ดูเหมือนจะเป็นปัญหาที่ไม่สามารถแก้ไขได้ภายในคำตอบเดียว ความกังวลนั้น มีคำตอบที่หาไว้จากหลายๆคำตอบหรือยังคะ?
อันดับแรก ออกกำลังกาย หลังจากเริ่มออกกำลังกายเป็นกิจวัตรประจำวัน ก็รู้ได้เลยว่าพลังงานในตัวผมเปลี่ยนไป และก็คิดว่าต้องออกไปพบเจอผู้คนครับ อย่างการสัมภาษณ์วันนี้ ก็ช่วยส่งผลให้ผมเป็นที่ยอมรับ ทำให้ผมคิดได้มากขึ้นว่าผมกำลังเดินตรงไปทางไหนอย่างไร ตอนนี้สภาพผมเป็นอย่างไร การได้พูดคุยกันแบบนี้ก็ช่วยผมได้ครับ
สัมภาษณ์คราวก่อนบอกว่า เวลาที่จะหาคำตอบจะชอบเดิน ยังเป็นแบบนั้นอยู่ไหม?
การเดินช่วยได้มากเลยครับ ออกไปข้างนอกแค่แป๊บเดียวก็รู้สึกได้ถึงสภาพอากาศที่อยู่รอบๆตัวที่แตกต่างกัน เช่น อากาศร้อน ลมพัด แทนที่จะหาคำตอบ ตอนนี้เวลาที่ต้องคิด ก็จะคิดว่า จะถามอะไร จะคิดอะไร และจะใช้เวลาอย่างไร พวกนี้สำคัญกว่า สุดท้ายผมก็มีคำตอบอยู่ในใจ จะมีบางครั้งที่ไม่ว่าใครจะแนะนำอะไรก็ไม่ฟังเลย แต่ว่าถ้าลองทำตามตัวเอง มันจะมีสักช่วงเวลาที่ได้ข้อสรุป และก็สามารถเติบโตขึ้นได้ผ่านช่วงเวลาแบบนั้น ถ้าตรงไปเส้นทางที่ผิด ก็สามารถหันหลังกลับได้อยู่บ้างใช่ไหมล่ะครับ ประสบการณ์ที่เดินกลับไป ก็ถือว่าเป็นอีกหนึ่งประสบการณ์ที่อยู่ในชีวิตผม ก่อนหน้านี้ ถ้ามีช่วงเวลาที่ต้องย้อนกลับไป จะรู้สึกเหนื่อยมาก แล้วจะรีบหาคำตอบอย่างรวดเร็ว ส่วนตอนนี้ผมคิดว่า มันคือช่วงเวลาที่ไม่ว่าใครก็ต้องประสบเหมือนกัน
ช่วงนี้กำลังถ่ายละครเรื่อง <STARTUP> เป็นเรื่องเล่าของวัยรุ่นที่เริ่มลงทุนธุรกิจเหมือนกับชื่อเรื่องใช่ไหมคะ?
ผมรับบทชื่อว่า ‘ฮันจีพยอง’ ครับ เป็นตัวละครที่มีพรสวรรค์ทางด้านการลงทุน แต่มีอดีตที่น่าเศร้า แม้ว่าจะเป็นตัวละครที่มีแต่ความเฉยชา เนื่องจากพ่อแม่เสียชีวิตตั้งแต่ยังเด็ก และต้องใช้ชีวิตอยู่คนเดียว แต่พอเจอตัวละครที่ซูจีกับนัมจูฮยอกรับบท ก็เปลี่ยนไปครับ อืมมม ไม่เชิงว่าเปลี่ยนไป แต่เป็นอารมณ์ที่ไม่สามารถปลดปล่อย และสิ่งที่อยู่ในใจมานาน ได้ปะทุออกมา มากกว่าครับ
ผลงานเป็นการบ้านสำหรับนักแสดงเสมอ แต่ละงานก็มีสิ่งที่ได้เรียนรู้ และประสบความสำเร็จแตกต่างกัน
ผลงานที่ผมถ่ายทำจนถึงตอนนี้ ส่วนใหญ่มักจะเกิดปัญหาใหญ่ตลอด เนื้อเรื่องแบบนี้จะช่วยกระตุ้นให้สนุกใช่ไหมล่ะครับ แต่ละคร <STARTUP> เป็นเรื่องเล่าการใช้ชีวิตทั่วไปเลยครับ เพราะฉะนั้น ก็เลยต้องเรียนรู้การแสดงแบบลดพลังลงครับ เวลาที่ดูท่าทางที่จูฮยอกแสดง บางทีก็รู้สึกว่า สามารถคิดแบบนั้นออกมาได้อย่างไร ผมกำลังเรียนรู้การใส่ท่าทางที่คาดไม่ถึงลงไปในฉากครับ
เมื่อเทียบกับผลงานก่อนหน้าที่ถ่ายทำรวดเร็ว ละคร <STARTUP> เป็นผลงานที่ถ่ายทำค่อนข้างนาน
ช่วงที่ไม่มีงาน ผมก็พยายามไม่คิดถึงการแสดงครับ เพราะต่อให้หมกมุ่นกับการแสดง ก็น่าจะไม่มีอะไรพัฒนา แม้ผมจะมองตัวเองแล้วว่า ไม่มีอะไรที่แตกต่างมากนักเวลาที่พัก แต่ก็มักจะกังวลว่าผมจะล้มเหลว หรือไม่มีอะไรพัฒนาเวลาที่ไม่แสดงหรือเปล่า
ถ้างั้นช่วยชี้ให้เห็นสิ่งดีๆตอนช่วงที่หยุดพักหน่อยค่ะ?
สามารถมองเห็นรอบๆตัวได้ครับ ได้ใช้เวลากับคนใกล้ตัว และมองเห็นสิ่งที่ผมทำพลาด มองสิ่งรอบตัว และคิดเกี่ยวกับเส้นทางที่จะต้องเรียนรู้ต่อไปในอนาคต
เพราะต้องอยู่ในฉากถ่ายทำนาน น่าจะทำให้เกร็งมากขึ้น
ตอนที่ถ่ายทำ <STARTUP> ต้องอยู่ในฉากถ่ายทำนาน ช่วงแรกก็ประหม่าครับ ช่วงที่ไปเลี้ยงสังสรรค์หลังเสร็จการอ่านบทร่วมกันครั้งแรก ยังคงเป็นช่วงที่ทำให้ตื่นเต้นมากที่สุดครับ เวลาอ่านบทครั้งแรก ไม่ว่าเมื่อไหร่ ก็ตื่นเต้นมากๆ การที่เหล่านักแสดงมาเจอหน้ากันครั้งแรก แล้วอ่านบทละครด้วยกัน มันกดดันมากๆครับ หลังจากอ่านจบ ปรบมือให้กันและกันแล้ว ถ้าได้ไปเลี้ยงสังสรรค์ จะมีความสุขมากครับ ตอนนั้นเองที่จะรู้สึกตื่นเต้นกับความคิดที่ว่าจะได้แสดงร่วมกันกับทุกคน ไม่มีอะไรที่ดีไปกว่าการได้มาเจอและพูดคุยกับนักแสดงที่เห็นชื่อบนแคสติ้งบอร์ดแล้วครับ
ไม่ใช่แค่เพื่อนวัยเดียวกันเท่านั้น แต่ว่าได้ร่วมงานกับนักแสดงรุ่นพี่ เช่น คิมแฮซุก หรือซออีซุก เวลาที่เห็นรุ่นพี่ในฉาก รู้สึกอย่างไรคะ?
อยากเรียนรู้ท่าทางที่ดูสบายๆของรุ่นพี่ครับ สิ่งนั้นไม่ใช่แค่พยายามแล้วจะทำได้ แต่เป็นการสะสมประสบการณ์จากการถ่ายทำ ว่าตอนไหน สถานการณ์แบบไหน สามารถแสดงแบบผ่อนคลายได้ ตัวละครที่รุ่นพี่แสดง ทุกอย่างดูสบายๆเหมือนยืนบนพื้นดินที่มั่นคง เวลาที่รุ่นพี่จิตใจแน่วแน่ตอนอยู่ในฉาก รู้สึกได้ว่าอารมณ์ของผมก็จะอยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้องเช่นกันครับ
ก่อนจะถ่ายทำ <STARTUP> มีผลงานละครเวทีเรื่อง <Memory In Dream> ละครเวทีเป็นสถานที่ที่คิดถึงอยู่เสมอใช่ไหมคะ?
ได้แสดงร่วมกันกับคนที่เคยใช้เวลาร่วมกันเป็นเวลานานในสถานที่ที่คุ้นเคย เพราะงั้นก็เลยรู้สึกดีกว่ามากครับ ได้แสดงกับคนที่รู้ดีว่าส่วนไหนผมทำได้ดี ส่วนไหนผมทำไม่ได้ ผมสามารถมองเห็นการแสดงของผมอย่างไม่มีอคติได้มากขึ้นครับ ได้ยินคำพูดที่บอกว่า แม้จะมีส่วนที่บกพร่อง แต่ก็มีส่วนที่ดี แม้ว่าจะเก่งแล้ว ก็อย่าทิ้งส่วนนี้ไป ประมาณนี้ครับ ได้รับการปลอบโยนเยอะมากตลอดการทำงาน อาจเป็นเพราะทำงานกับคนที่เป็นเหมือนครอบครัว เลยเป็นเช่นนั้นครับ
การที่คุณคิดเรื่องการแสดง และประเมินตัวเองอยู่ตลอด เป็นเพราะคุณหาคำตอบจากคำถามที่ว่า อยากเป็นนักแสดงแบบไหน เจอแล้วใช่ไหม?
อยากเป็นนักแสดงที่มีสีสันชัดเจน และอยากเป็นนักแสดงที่มีความน่าเชื่อถือในทุกๆเรื่องครับ ไม่นานมานี้ ผมดูหนังเรื่อง <The Intern> แล้วมีฉากที่โรเบิร์ต เดอ นีโร อ่านหนังสือพิมพ์ ฉากนั้นไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้นเลย เขาแค่อ่านหนังสือพิมพ์ แล้วผมรู้สึกได้เลยว่าไม่ได้กำลังดูโรเบิร์ต เดอ นีโร แต่เป็นตัวละครที่อยู่ในหนัง ช่วงเวลาที่นักแสดงดูไม่เหมือนนักแสดง ผมอยากจะเรียนรู้การแสดงแบบนั้นครับ
สิ่งที่ไม่อยากสูญเสียไประหว่างตามหาหนทางการเป็นนักแสดงที่ดี คืออะไรคะ?
ไม่อยากทำให้คนอื่นไม่สบายใจครับ ผมอยากจะเป็นคนง่ายสบายๆตอนที่ทำงานร่วมกัน มากกว่าอยากเป็นคนดีครับ
ช่วงเวลา ‘ครั้งแรก’ ที่กลายเป็นพลังให้กับตอนนี้ด้วย คือช่วงเวลาไหน?
ได้รับบทบาทเยอะมากเป็นครั้งแรกจากละคร <Strongest Deliveryman) ครับ ตอนนั้นยังไม่ค่อยมีประสบการณ์ในการแสดงละคร ใครมาดูก็อาจจะไม่ชอบ หรืออาจจะให้กำลังใจผม ในฉากผมพยายามไม่สูญเสียรอยยิ้ม และช่วงเวลาที่สนุกสนานนั้น กลายเป็นพลังที่ยิ่งใหญ่เสมอครับ ผมคิดว่า เพราะเอาชนะและผ่านช่วงเวลานั้นมาได้ ตอนนี้ก็ไม่มีอะไรที่ทำไม่ได้ และไม่มีอะไรที่ไม่สนุกแล้วครับ
นี่คือฤดูกาลที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิของลมได้ วันนี้ใกล้จะสิ้นปีแล้ว ถ้าให้เลือกหนึ่งฉากที่มีความหมายต่อชีวิตนักแสดง จะเลือกฉากไหน?
ช่วงเวลาที่ออดิชั่นละครเวทีที่อยากเข้าร่วมการแสดงให้ได้ ฝึกซ้อมทั้งคืน หลังจากที่ผ่าน ผมก็ใช้เวลาฝึก กิน นอนอยู่ที่โรงละคร ช่วงเวลาที่ออกกำลังกาย กิน นอนด้วยกันกับคนที่ร่วมแสดง และฝึกซ้อมมากกว่า 10 ชั่วโมงทุกวัน ฉากที่อบอุ่นของช่วงนั้น ทำให้รู้สึกได้ถึงการเริ่มต้นชีวิตนักแสดงของผมครับ ไม่อยากจะสูญเสียความทรงจำในช่วงเวลานั้นไปตลอดชีวิตครับ
- ผู้เขียนบทความ : พัคมิน
- ช่างภาพ : ยุนซงงี
- ทรงผม : อีฮเยยอง
- สไตล์ลิ่ง : นัมจูฮี
- เมคอัพ : อียอง
- อ้างอิง ฉบับเดือน ต.ค. ปี 2020
ที่มา http://www.marieclairekorea.com/celebrity/2020/09/in-the-scene/
ย้อนอ่าน Marieclaire ปี2019 https://kimseonhothailand.com/marie-claire-2019/