คิมซอนโฮผู้ซึ่งขีดเส้นทางแห่งความสำเร็จก้าวใหญ่
หากได้ดูการแสดงและรู้จักชื่อของเขา คงอดที่จะไล่ตามดูผลงานของเขาไม่ได้ เขาคือคิมซอนโฮ ผู้ที่ฝากร่องรอยแห่งความสำเร็จชิ้นใหญ่ที่สุด
Q: หายากมากกับคนที่ชวนให้มาสัมภาษณ์ตั้งแต่เช้าตรู่ เป็นพวกตื่นเช้าเหรอ
A: ผมรู้สึกถึงความสำคัญของการดูแลร่างกายในช่วงที่ถ่ายทำละครครับ เคยมีครั้งหนึ่งระหว่างกำลังถ่ายทำ จู่ๆ ผมก็ลงไปนั่งหมดแรงเสียเฉยๆ เลยครับ ตั้งแต่นั้นมาจึงทานอาหารเสริมและเริ่มต้นวันด้วยการออกกำลังกาย โชคดีที่ผมได้วันหยุดหนึ่งวันเพราะมีสัมภาษณ์ ก็เลยอยากเริ่มเร็วๆ ครับ ทำแบบนี้เวลาหนึ่งวันก็จะยาวนานขึ้น มันดีมากเลยนะครับ
Q: ได้หยุดพักนานแค่ไหน
A: ผมไม่มีวันหยุดเลยทั้งเดือนครับ แถมได้นอนแค่คืนละประมาณ 2-3 ชั่วโมง
Q: แบบนี้เวลาหลังจากสัมภาษณ์เสร็จนี้คงสำคัญมากจริงๆ
A: หลังจบ ผมกับเหล่าสตาฟนัดกันไปกินเป็ดปักกิ่งเรียบร้อยแล้วครับ (หัวเราะ)
Q: ไม่ต้องการเวลาส่วนตัวบ้างเหรอ
A: เวลาส่วนตัวจำเป็นก็จริง แต่ตอนนี้กำลังทำงานอยู่น่ะครับ ตอนที่สคริปต์ออก เราก็ต้องพยายามทำความเข้าใจให้เข้าถึงบทบาท เพราะฉะนั้นช่วงเย็นก็คงจะใช้เวลาไปกับสิ่งนี้ ผมไม่ค่อยมีเวลาอ่านสคริปต์เลยเช็คได้เฉพาะช่วงที่พอมีเวลาว่าง แค่คิดว่าจะได้นั่งชิลๆ อยู่ในคาเฟ่แล้วอ่านสคริปต์ก็รู้สึกดีแล้วครับ
Q: <Catch the Ghost> เดิมทีมีกำหนดฉายก่อนหน้านี้
A: เราตัดสินใจเลื่อนกำหนดการหลังจากที่ทุกคนปรึกษากันแล้วเพื่อผลงานที่ดีขึ้น เพราะเป็นสิ่งที่คาดการณ์เอาไว้แล้วเลยไม่รู้สึกประหม่านะครับ ถึงผมบอกว่ากังวลแต่มันก็ไม่ใช่เรื่องที่จะแก้ปัญหาได้ เพราะฉะนั้นก็เลยพยายามสร้างเอเนอร์จี้ที่สดใสเวลาอยู่กองถ่ายครับ
Q: สืบสวนสอบสวนโรแมนติกหรอ เป็นละครแบบไหนกันนะ
A: เป็นละครที่มีฉากโรแมนติกคอมเมดี้เยอะมากครับ เล่นกับนักแสดงมุนกึนยอง ผมรับบทเป็นนักสืบที่เคยใช้ชีวิตแบบบ้าดีเดือด แต่ด้วยเหตุผลบางอย่างจึงพยายามมองหาชีวิตที่มั่นคงครับ ทำงานเป็นตำรวจนอกเครื่องแบบในสถานีรถไฟปะปนอยู่กับคนทั่วไป ผมเพิ่งรู้หลังจากแสดงเรื่องนี้ครับว่าในรถไฟใต้ดินที่เราใช้บริการกันอยู่เป็นประจำในชีวิตประจำวันมีเจ้าหน้าที่เหล่านี้ทำงานอยู่ด้วย คอยจับพวกนักล้วงกระเป๋าหรือพวกแอบถ่ายผิดกฎหมาย เพราะไม่ได้ทำคดีใหญ่ๆ ทำให้ด้านหนึ่งของชีวิตค่อนข้างมั่นคง ผมใช้ชีวิตอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งได้เจอมุนกึนยองที่เป็นเพื่อนตำรวจ ทำให้มาคิดว่าแท้จริงแล้วตัวเองต้องการอะไรและได้ตกหลุมรัก เป็นเรื่องราวประมาณนี้ครับ
Q: งั้นก็ไม่ได้ใส่เครื่องแบบอยู่ตลอดสิ น่าจะมีอาการอิจฉาหรือแอบเสียดายเกี่ยวกับเครื่องแบบอยู่บ้างใช่ไหม
A: เวลาตำรวจใส่ชุดเครื่องแบบคือช่วงเวลาที่โดนผู้ใหญ่ดุ พอได้ยินเรื่องนี้แล้วก็ขำ ระหว่างถ่ายทำฉากที่ต้องใส่เครื่องแบบ ผมรู้สึกว่าร่างกายดูมีพลัง ทำให้ท่าทางและความตั้งใจเปลี่ยนไปด้วยแบบที่ผมก็ไม่รู้ตัว หากพูดถึงเครื่องแบบ ยังไงเครื่องแบบตำรวจก็แวบเข้ามาในหัวเป็นอันดับแรก ซึ่งในเรื่องนี้ได้ลองใส่อย่างเต็มที่เลย
Q: มีเรื่องราวเกิดขึ้นในแต่ละตอนเหมือนกับเป็นมินิซีรี่ย์ ให้ความรู้สึกแปลกใหม่
A: จุดเด่นที่สุดของละครเรื่องนี้คือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในแต่ละตอนจะมารวมเป็นเรื่องใหญ่เรื่องเดียวในท้ายที่สุด ถึงจะเป็นโรแมนติกคอมเมดี้ แต่ถ้าหากคอยจับแกนเรื่องให้ดีๆ แล้วจะยิ่งรู้สึกสนุกมากขึ้นไปอีกครับ พลิกล็อคในพลิกล็อค เอาเป็นว่าบอกแค่นี้แล้วกัน (หัวเราะ)
Q:เป็นละครแนวพาร์ทเนอร์ มีวิธีการเข้าขากันได้ดีกับนักแสดงอีกฝ่ายตามแบบฉบับของคิมซอนโฮอย่างไรบ้าง
A:มีอะไรให้เรียนรู้จากประสบการณ์การแสดงอันยาวนานของมุนกึนยองเยอะมากครับ เขาตั้งใจและมุ่งมั่นอยู่เสมอจนเราก็เป็นไปตามเขาโดยไม่รู้ตัว ผมคิดว่าหากเราเตรียมตัวทำการบ้านมาเป็นอย่างดี ไม่ว่าอีกฝ่ายจะโยนซีนแบบไหนมาให้ เราก็จะสามารถแสดงออกมาได้ดีทั้งคู่ครับ เพราะฉะนั้นผมถึงลองซ้อมในหลายๆ สถานการณ์ดู
Q:คุณตามเพื่อนไปออดิชันและเข้าโรงเรียนการแสดง จากนั้นเลือกเรียนเอกการแสดงและแสดงละครเวทีมานาน คุณชัดเจนในสายนี้มาก (หัวเราะ)
A:มันค่อนข้างเป็นเรื่องที่หนักนะครับ สมัยเด็กผมเจอเหตุการณ์ใหญ่มาก ขโมยเข้ามาในบ้านแล้วเอามีดแทงคุณแม่ ส่วนผมก็แอบอยู่ใต้เตียง จากเหตุการณ์ฝังใจในครั้งนั้นทำให้ผมแทบหายใจไม่ออกเวลาที่ไปในสถานที่พลุกพล่าน เพราะฉะนั้นการตามเพื่อนไปออดิชั่นถึงเป็นจุดเปลี่ยนของอะไรหลายอย่าง ทำให้ไม่รู้สึกกลัวเวลาเป็นจุดสนใจและได้รับรู้ว่าสายตาที่มองมาของคนอื่นก็อบอุ่นได้เช่นกัน ผมชอบความรู้สึกแบบนั้นจึงไปโรงเรียนสอนการแสดง คนรอบข้างไม่มีใครคิดว่าผมจะแสดงไปได้นาน ผมว่าการทำให้ถูกต้องก่อนยังไงก็ดีกว่า ผมรู้สึกกดดันเวลาที่คนอื่นมาสั่งผม ดังนั้นเลยขอเริ่มทำก่อน เพราะอะไรน่ะเหรอ ก็เพราะเวลาเห็นคนอื่นทำแล้วจะยิ่งตื่นเต้นและคิดอะไรไม่ออกครับ (หัวเราะ) ลองพุ่งเข้าชน เจ็บปวด เก็บมาคิดพิจารณา และปรับปรุง ทำให้มาถึง(จุดนี้)ช้ากว่าคนอื่น ค่อยๆ มาอย่างใจเย็นจนถึงตอนนี้
Q: คำจำกัดความที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงสำหรับคิมซอนโฮคงจะเป็น ’แสดงเก่ง’
A: หากเป็นอย่างนั้นก็ขอบคุณครับ ถึงจะไม่ค่อยใช่ก็เถอะ ผมมีจุดเด่นแต่ก็มีจุดด้อยเช่นกัน ยังขาดอีกหลายด้านจึงตั้งใจอยากพัฒนาตัวเอง ละครเรื่องนี้ผมได้ใช้เวลาในการตระหนักถึงข้อบกพร่องและพัฒนาตัวเอง คำวิจารณ์ดีๆ หรือข้อความใจกำลังใจทำให้อารมณ์ดีและมีแรงก็จริง แต่พยายามไม่หลงระเริงไปกับมันครับ
Q: เป็นนักแสดงที่มีจุดเด่นชัดเจนสินะ นักแสดงที่ทำให้อ้าปากค้าง
A:ถ้าได้ดูสักครั้ง จะต้องกลายเป็นแฟนแน่นอน อย่างแรกเลย ผมหน้าตาชิลๆ (หัวเราะ) ท่ามกลางนักแสดงที่ดูดีและเท่ ผมให้ความรู้สึกที่เติมเต็มบทบาทนั้นๆ ได้อย่างพอดี คนดูก็เลยไม่ค่อยกระอักกระอ่วนมั้งครับ ไม่ว่าจะเวลาแสดงตลกฮาๆ หรือบทเศร้า คนดูก็จะมีอารมณ์ร่วมไปด้วย คิดว่าแบบนั้นนะครับ
Q: คนส่งของใน <Strongest Deliveryman> นักต้มตุ๋นใน <Two Cops> คนรักใน <You Drive Me Crazy!> ในช่วงสองปีที่ผ่านมา ดูเหมือนได้แสดงบทบาทไปเกือบหมดแล้ว
A: ตอนเรียนเอกการแสดง จุดมุ่งหมายของผมคือเป็นนักแสดงที่คนอยากร่วมแสดงในผลงานอื่นๆ ด้วยกัน ถ้าอยากทำให้ได้แบบนั้น ด้านอื่นๆ ที่นอกเหนือจากการแสดงก็ต้องดีด้วย นักแสดงที่ผู้กำกับ เพื่อนร่วมงาน และสตาฟรู้สึกสบายใจ นักแสดงที่ผู้ชมไม่รู้สึกลำบากใจ ช่วงแรกๆ ผมคิดแค่ว่าไม่ว่าใครก็ตามเรียกผม ผมจะต้องขอบคุณเท่านั้น แต่ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ ผมก็คิดว่าเราจะต้องดียิ่งขึ้น ดังนั้นเลยมองหาบทบาทใหม่ๆ และทำให้ได้แสดงหลากหลายบทบาทอย่างเป็นธรรมชาติ
Q: ยืนอยู่บนเวทีมาเกือบ 10 ปีแล้ว เมื่อตอนเริ่มแสดงครั้งแรกเคยวาดภาพตัวเองใน 10 ปีให้หลังบ้างไหม
A: เวลาที่เพื่อนๆ ถามว่าความฝันคืออะไร ผมเคยตอบว่าอยากเป็นดาราที่เจิดจรัส อยากเป็นดวงดาวที่ลอยอยู่สูง แต่ไม่ได้คิดอย่างจริงจัง จากนั้นผมก็เปลี่ยนความคิดอย่างรวดเร็วและฝันที่อยากจะเป็นนักแสดงจริงๆ ถ้าให้โอกาสบนหน้าจอได้เพียงแค่ 3 ครั้ง ผมก็คิดว่าตัวเองจะสามารถปรับตัวได้ไวกว่าคนอื่น ถึงผมจะค่อยๆพัฒนาขึ้น แต่เรื่องการยอมรับและปรับตัวไปตามสภาพแวดล้อมผมค่อนข้างไวครับ ความจริงพอถ่ายละครไปแค่ 3 ฉากผมก็รู้สึกถึงการใช้ชีวิตแบบนักแสดงแล้วครับ นักแสดงที่สามารถทำผลงานอย่างต่อเนื่อง ผมคิดว่าตัวเองโชคดีที่จุดมุ่งหมายและความมุ่งมั่นเมื่อตอนเริ่มแสดงประสบความสำเร็จ
Q: ละครก็ลองแล้ว ดูเหมือนจะมีสิ่งที่สนใจในด้านอื่นอีกใช่ไหม
A: เวลาคุยกับเพื่อนๆ สามารถโกหกได้ ล้อเล่นได้ แต่สำหรับการสัมภาษณ์หรือออกรายการคงทำแบบนั้นไม่ได้ เพราะฉะนั้นผมถึงเป็นคนตรงมากขึ้นและไม่สามารถแอบซ่อนอะไรได้เลย แถมยังอยากลองตลกอีก… เคยคิดถึงรายการวาไรตี้ด้วยนะ แต่ผมอยากแสดงไปนานๆ ตอนนี้เลยห้ามตัวเองไว้อยู่ (หัวเราะ)
Q: นอกจากการแสดงแล้วไม่รู้จริงๆเหรอว่าชอบอะไร
A: ผมเห็นรูปนึงในไอจีที่เป็นรูปที่นั่งอยู่ที่ร้านคอมพิวเตอร์ ผมชอบอ่านหนังสือการ์ตูนหรือดูภาพยนตร์ ไม่ได้ชอบผู้กำกับคนใดคนหนึ่ง แต่ผมชอบที่ตัวภาพยนตร์ แถวบ้านมีโรงภาพยนตร์ที่สามารถนั่งดูคนเดียวได้ ผมเลยไปดูที่นั่นบ่อยๆ แล้วคิดนั่นนี่ครับ ใช้ชีวิตธรรมดาขนาดที่คนทั่วไปอาจจะบอกว่าเป็นชีวิตที่ไม่สนุกได้เลย แต่มันช่วยได้ดีเวลาที่รู้สึกตันกับการแสดง แล้วได้ไปเห็นการแสดงดีๆ ของเหล่านักแสดงท่านอื่น ในยูทูปก็มักจะมีพวกฉากดังอัพโหลดอยู่ ผมดูเป็นร้อยๆรอบเลยครับ
Q: สุดท้ายก็วนกลับมาที่เรื่องการแสดง (หัวเราะ) ชอบถึงขนาดดูเป็นร้อยๆรอบเลยเหรอ
A: มีนักแสดงที่โชว์ให้เห็นการแสดงอย่างกับพจนานุกรมหรือพวกหนังสือแนะนำอยู่ครับ จะต้องหายใจอย่างไร ต่อหน้ากล้องจะแสดงความรู้สึกทางสายตาอย่างไร ผมพยายามซึมซับสิ่งเหล่านี้จากพวกเขาครับ ผมดูและเรียนรู้ไปด้วย เผื่อวันหนึ่งจะได้เอาออกมาใช้ในสถานการณ์ที่เหมาะสมได้ครับ
Q: สงสัยต้องเรียนรู้แฟนเซอร์วิสด้วยนะเนี่ย
A: ผมถ่ายเซลฟี่ไม่เก่ง เลยตั้งใจพยายามฝึกอยู่ครับ ครั้งนี้ซื้อกล้องตัวใหม่มาด้วย เวลาที่ตั้งใจถ่ายแล้วเอาให้ดูทุกคนก็จะโบกมือหนี นี่ควรลบรูปร้านคอมพิวเตอร์ด้วยนะเนี่ย (หัวเราะ) ผมยอมแพ้ไปเกินครึ่งแล้วเพราะไม่ถนัดจริงๆ แต่คิดว่าอยากจะแชร์วิวทิวทัศน์ที่ผมชอบ สิ่งที่สื่อถึงตัวตนของผมได้ เช่น โปสเตอร์ภาพยนตร์ หรือสิ่งที่เราสามารถมีความรู้สึกร่วมกันได้ครับ
Q: คิมซอนโฮเป็นคนแบบไหนกันนะ
A: คนอื่นชอบพูดถึงผมแบบนี้ครับ เป็นคนที่เข้าถึงง่าย สบายๆ แต่นอกเหนือจากนี้ไม่มีอะไรแล้ว ค่อนข้างลังเลที่จะแสดงอารมณ์ในทันทีทันใด และต้องการจัดการอารมณ์ในภายหลังเมื่อเวลาผ่านไป ไม่ค่อยหัวเราะด้วยกัน ร้องไห้ด้วยกัน คนรอบข้างเลยแอบเศร้าใจ ถ้าติดต่อกันเรื่อยๆ บ่อยๆ คงจะดี แต่ก็ไม่ใช่แนวนั้นอีก เวลาส่งข้อความ นิ้วอ้วนเลยพิมพ์ผิดบ่อยมาก (หัวเราะ)
Q: แปดปีกับละครเวที สองปีกับการแสดงละครโทรทัศน์ ตอนนี้คิมซอนโฮอยู่ตรงจุดไหนกันนะ
A: ผมได้รางวัลนักแสดงหน้าใหม่และเพิ่งเดบิวต์ผ่านหน้าจอได้ 2 ปี เพราะฉะนั้นเลยหาเหตุผลเข้าข้างตัวเองว่า ’ฉันคือเด็กใหม่’ ครับ และจะหยุดอยู่ตรงนี้ไม่ได้ ตอนถ่ายทำละคร <Catch the Ghost> รู้สึกเสียดายกับการแสดงของตัวเอง จึงคิดได้ว่าเราต้องห้ามเสียดายเพราะไม่ได้ทำในสิ่งที่สามารถทำได้ ณ ช่วงเวลานั้น และถึงแม้มันจะทำให้เวลาถ่ายทำยาวนานขึ้น แต่ผมก็กล้าที่จะพูดคำว่าลองอีกรอบกันเถอะ โชคดีที่หลายคนเข้าใจจึงสนุกกับการถ่ายทำ เป็นช่วงเวลาที่ไฟลุกโชนครับ ถึงแม้ความทะเยอทะยานจะไม่ใช่สิ่งที่ดีทั้งหมด แต่ก็หวังว่าจะมีสักครั้ง และมันก็คือตอนนี้ครับ ไฟลุกท่วมเลย
Credit: https://www.harpersbazaar.co.kr/article/42370