โลกของนักแสดงคิมซอนโฮ Part.1-2/Esquirekorea/December 2020

ฮันจีพยอง <STARTUP> , เยโป (ต้นอ่อนวาไรตี้) <2 Days & 1 Night>

และนี่คือ โลกของนักแสดงคิมซอนโฮ Part.1


เรื่องราวของ ฮันจีพยอง จากละคร <STARTUP>, เยโป (ต้นอ่อนวาไรตี้) จากวาไรตี้ <2 Days & 1 Night>, นักสืบ 2 จากละครเวที <ICE> และนักแสดงคิมซอนโฮ ที่ทุกคนยังไม่เคยรู้มาก่อน โลกที่สดใสราวกับท้องฟ้า และลึกล้ำราวกับมหาสมุทร *เป็นคำเปรียบเปรยที่เพิ่มเข้ามาเอง เพื่อให้เข้าใจง่ายค่ะ เนื่องจากบทความใช้แค่คำว่า โลกที่สดใสและลึก


Q. ได้ยินมาว่าได้ถ่ายโฆษณาตัวแรก ยินดีด้วยค่ะ
A. อ่า ขอบคุณครับ กังวลมากครับ แต่ก็โล่งใจที่ถ่ายทำเสร็จด้วยดีครับ

Q. กังวลเรื่องอะไรคะ?
A. ก่อนอื่นเลย เพราะว่ามันเป็นครั้งแรกครับ ผมเพิ่งเคยเจอกับฝ่ายสปอนเซอร์เป็นครั้งแรก แม้ว่าจะได้พูดคุยกันเล็กน้อยข้างนอกมาบ้างแล้ว แต่ในระหว่างที่เมคอัพ หัวใจก็เต้นโครมครามเลยครับ (หัวเราะ) ตอนแรกคิดว่าจะตายแล้วครับ

Q. แต่ถ่ายทำเสร็จไวกว่าที่คาดการณ์ไว้นะคะ
A. ตอนแรกคอแข็งเหมือนคนคอหักเลยครับ แต่ก็ค่อยๆผ่อนคลายเรื่อยๆ และก็โชคดีที่ (ผู้กำกับ) ชอบใบหน้าหัวเราะของผม และถ่ายออกมาได้ดีกว่าความเป็นจริงที่ผมทำไว้อีกครับ รู้สึกโชคดีจริงๆครับ

Q. แต่ฉันรู้ว่านั่นเป็นคำพูดให้ขำๆ และถ่อมตนค่ะ เพราะเมื่อกี้ตอนที่ถ่ายนิตยสาร เห็นแล้วว่าเป็นคนที่ตั้งใจและเก่งขนาดไหน
A. อ่า ไม่หรอกครับ ไม่ใช่หรอกครับ ที่ถ่ายนิตยสารวันนี้ แบบว่า…เป็นคอนเซปต์ที่สนุกดีครับ เห็นบอกว่ามีองค์ประกอบเหมือนละครเวที ผมก็เลยเสิร์ซหารูปภาพแนวนั้นทางโทรศัพท์ก่อนที่จะมาถ่ายทำครับ

Q. ต้องขอบคุณที่ถ่ายนิตยสารเสร็จอย่างรวดเร็ว ถ้าวันนี้ทำได้ดี ทั้ง 2 งานเสร็จเร็ว ก็จะได้ไปดูละคร <STARTUP> ตอนที่ 7 ได้ด้วยค่ะ
A. ครับ ตื่นเต้นมากที่น่าจะได้ดูรอบออนแอร์ปกติ

Q. ตื่นเต้นหรอคะ?
A. มันจะมีอะไรแบบนั้นอยู่ครับ เวลาที่ถ่ายทำแล้วร่างกายอ่อนล้า พอได้ดูที่ออนแอร์ ก็จะเห็นว่าผู้กำกับถ่ายออกมาได้น่ารักและเท่แบบนี้ แล้วผมอยากเห็นตัวเองอยู่ในนั้นครับ ฉากถ่ายทำของละคร <STARTUP> ส่วนใหญ่จะถ่ายทำใน Sandbox ที่เป็นพื้นที่สนับสนุนคนเริ่มต้นทำธุรกิจ แล้วบางครั้งผมไม่คิดว่าเป็นสถานที่ถ่ายทำ แต่รู้สึกเหมือนใช้ชีวิตอยู่ใน Sandbox จริงๆ บางครั้งผมก็ใจเต้นแรงครับ เพราะฉะนั้น เวลาที่ดูละคร ก็เหมือนเป็นแรงผลักดันครับ

Q. อันนี้เป็นเรื่องสงสัยส่วนตัวนะคะ Sandbox ธุรกิจ MCN ได้ลงทุนให้กับละครเรื่องนี้หรือเปล่าคะ? ถ้าเป็นประเด็นอ่อนไหว จะให้บันทึกแบบออฟไลน์ก็ได้ค่ะ พอดีลองค้นหาแล้วแต่ไม่เจอข้อมูลเลย
A. อ่า อันนั้นได้ยินมาว่าเป็นเรื่องบังเอิญน่ะครับ ทางผู้เขียนบทได้เตรียมมานานมากแล้ว ทีนี้ก็ทราบมาว่ามีบริษัทที่ชื่อคล้ายกันก่อตั้งขึ้นมาครับ หลังจากที่พูดคุยกัน ก็ตัดสินใจจะทำต่อครับ ก่อนหน้านี้ชื่อเรื่องเป็น <Sandbox> แต่คิดว่าไม่อยากให้ชื่อเรื่องเหมือนกัน เลยเปลี่ยนเป็น <STARTUP> ครับ

Q. จะบอกว่าชื่อ Sandbox ถูกเปลี่ยนเพราะจู่ๆก็มีบริษัทที่ใช้ชื่อนั้นขึ้นมาจริงๆ แล้วชื่อนี้ยังมีบทบาทสำคัญต่อเนื้อเรื่องอีกใช่ไหมคะ? ทั้งคำว่า STARTUP และความสัมพันธ์ของตัวละครซอดัลมีกับวอนอินแจ อันนี้ขอไม่บันทึกแบบออฟไลน์ได้ไหมคะ? ฉันคิดว่าน่าจะแจ้งให้ทุกคนทราบทั่วกัน
A. ครับ เป็นอย่างนั้นครับ (หัวเราะ) จริงๆก็น่าจะมีหลายท่านที่สงสัยเกี่ยวกับเรื่องนี้ครับ

Q. อย่างไรก็ตาม ได้ยินมาว่านักแสดงบางท่านจะไม่ดูผลงานตัวเองตอนออนแอร์ เพราะอาจจะส่งผลต่อทิศทางการแสดง หรือส่งผลต่อความมั่นใจ
A. ใช่ครับ ผมเอง ตอนแรกก็ไม่สามารถดูได้เหมือนกันครับ บางทีก็จะคิดว่าหน้าแปลกๆ คำพูดหรือการแสดงสีหน้าดูเกร็งๆ หรือไม่ก็ดูไม่ค่อยเข้ากับตัวละครอื่นๆ แบบนั้นครับ ถ้าพูดกันตามตรง ตอนนี้ก็ยังไม่ถูกใจครับ แต่ถ้าแสดงมากไป หรือคิดว่าอันไหนที่แสดงออกมากเกินไป ก็จะไปเช็คที่มอนิเตอร์ครับ ช่วยได้เยอะเลย

Q. แต่คุณดูไม่ใช่ประเภทแสดงจนล้นเกินไปนะคะ?
A. ผมคิดว่า นักแสดงแบบผมจะต้องโฟกัสอยู่เสมอครับ ถ้าแสดงมากเกินไป ก็จะไม่สามารถโชว์แก่นแท้ หรือเป้าหมายที่สำคัญของฉากนั้นได้ใช่ไหมล่ะครับ ในทางตรงกันข้าม ถ้าเล่นดาวน์เกินไป ก็อาจจะไม่เข้ากับนักแสดงคนอื่น จนดูไม่เป็นธรรมชาติ ผมจึงพยายามใจเย็นและแสดงออกมาให้พอดีตรงกลาง เพราะฉะนั้นการดูละคร(ของตัวเอง)ก็ช่วยได้เหมือนกันครับ ‘ทำไมตอนนั้นแสดงแบบนั้นนะ?’ ‘ตอนนั้นสถานการณ์มันเป็นยังไงนะ?’ ผมยังคงต้องเรียนรู้ และมอนิเตอร์ก็เป็นสิ่งที่จำเป็นครับ

Q. คุณน่าจะเคยได้ยินว่า ‘หน้าตาดี แสดงเก่ง’ บ่อย แต่ว่ามุมมองที่คุณมองตัวเองดูแตกต่างกันเลยนะคะ
A. ตัวช่วยแบบนั้น…พูดกันตามตรง ผมก็ไม่ได้หน้าตาดีนะครับ

Q. คะ? อุ้ย ฉันเอาแต่คุยเรื่องนี้ คงทำให้คุณเบื่อ แต่คุณหล่อมากจริงๆค่ะ
A. อ่า ไม่ใช่ครับ ผมรู้สึกขอบคุณมากที่ชมแบบนั้น แค่จูฮยอกคนเดียวก็หล่อมากแล้วใช่ไหมล่ะครับ ตอนที่เจอครั้งแรก ผมยังคิดว่าเขาหลุดออกมาจากในการ์ตูนเลย คนหน้าตาดีมีอยู่เยอะมากใช่ไหมล่ะครับ และก็เรื่องการแสดง ผมมีความมุ่งมั่นว่าอยากแสดงให้ดีกว่าเดิม มีความต้องการค่อนข้างเยอะครับ ช่วงแรกที่ถ่ายทำละคร <STARTUP> ก็มีเรื่องที่กังขากับตัวเองเยอะครับ ว่าจะทำได้ดีไหม และก็ ตอนแรกผมสวมบทตัวละครแบบค่อนข้างหนักหน่วงและดุดัน แต่พอได้รับคำแนะนำมาว่า ตัวละครยังเด็ก ควรผ่อนคลายกว่านี้หน่อย ผมก็พยายามปรับ เพิ่มสถานการณ์ตลกๆ และไหวพริบ ให้ดูมีชีวิตชีวามากขึ้น ผลสุดท้าย ก็ดูเหมือนจะช่วยให้ไปในทิศทางที่ดูเป็นธรรมชาติมากขึ้นครับ แต่ว่า ตอนที่เริ่มแสดง ผมเองก็กังวลเพราะมีบางพาร์ทที่ แตกต่างจากตัวละครที่ผมนึกภาพไว้ล่วงหน้าแล้ว จีพยองเนี่ยนะ? ที่นี่หรอ? จะทำแบบนั้นจริงๆหรอ? ผมจำเป็นต้องจับคู่ให้โดซานกับดัลมี แต่ตอนนั้นผมไม่รู้เลย เพราะฉะนั้นตอนนี้เลยรู้สึกขอบคุณผู้กำกับมากๆครับ ที่ช่วยให้ดูเป็นธรรมชาติมากขึ้น และหนังออกมาดูสบายๆมากขึ้นครับ

Q. ถ้างั้น จุดเริ่มต้นแรก สาเหตุที่เลือกรับแสดง <STARTUP> คืออะไรคะ?
A. อันดับแรกเลย ผมดูละคร <I Can Hear Your Voice> ที่คุณนักเขียนพัคฮเยรินเคยเขียนบทไว้ สนุกมากๆครับ และก็ชอบผลงานของผู้กำกับโอชุงฮวานมากด้วยครับ แค่คิดว่าจะได้ทำผลงานร่วมกับท่านนั้นก็ตื่นเต้นแล้ว พอดูบทละคร ก็คิดว่าจะออกมาสวยงามแน่ครับ เป็นเนื้อเรื่องที่น่าทะนุถนอมเหมือนเทพนิยาย ในขณะเดียวกัน ก็ดูเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้จริง ผมมีความคิดที่อยากจะเป็นส่วนหนึ่งของภาพวาดนั้นทันที เลยรีบตอบตกลงครับ

Q. สตาฟที่ทำงานร่วมกัน เป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดเลยใช่ไหมคะ
A. ครับ ผมเชื่อแบบนั้นครับ เป็นความเชื่อที่ดีอย่างเห็นได้ชัด เพราะถ่ายทำออกมาสวยมากอย่างที่คิดไว้ กำกับอย่างละเอียดอ่อนจนทำให้ตื่นเต้น บทละครแต่ละคำที่เหมือนรูปวาด เช่น “โดซานอ่า ฉันยังเป็นคนที่ ‘ไม่ต้องมีแผนที่บอกทาง’ ของนายอยู่ไหม?” บทละครแบบนี้ทำให้ผมตื่นเต้น “ว้าว ไปโควทคำพูดมาจากที่ไหนหรือเปล่า?”, “หรือ คนเขียนบท เป็นคนเขียนไว้จริงๆหรอ?” อีกทั้งผู้กำกับยังทำให้แก่นแท้ของบทละครถ่ายทอดออกมาได้อย่างไหลลื่นมากขึ้น ในครั้งนี้มีสิ่งที่ผมสัมผัสได้หลายอย่างจริงๆครับ

Q. จริงๆใจความสำคัญของเนื้อหาคือ Cyrano <Cyrano de Bergerac> ตัวละครที่ตกหลุมรักแล้วให้คนอื่นเป็นตัวแทนแบบนี้ แทบจะไม่เคยมีจุดจบที่ดีเลยค่ะ แต่ว่า ละครเรื่องนี้ก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน ดูเหมือนดัลมีกับโดซานจะมีความสัมพันธ์เหมือนกับแนวการเขียนละครวัยรุ่นช่วงนี้ แต่ก็ดูเหมือนจะแสดงให้เห็นอารมณ์ของจีพยองมากเป็นพิเศษ
A. คนเขียนบทพูดถึงเรื่องนั้นไว้ครับ เขาไม่ชอบเขียนการที่ไม่รู้อะไร แล้วถูกชักจูงโดยคนๆเดียวแบบนั้น มันไม่ใช่โลกที่เราอาศัยอยู่จริงๆ ถ้ามองแบบนั้นแล้ว ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีมากครับ

Q. จริงๆตอนนี้ฉันทุ่มให้ทางจีพยองหมดหน้าตักเลย ควรทำต่อไปไหมคะ?
A. อืม…อันนั้น…เรื่องที่ผมชอบดัลมีนั้น ยืนยันได้ว่าจริงครับ
Q. อันนั้นเขารู้กันหมดแล้วค่ะ มีแค่ฮันจีพยองคนเดียวที่ไม่รู้
A. (หัวเราะ) ผมก็ไม่รู้บทสรุปเหมือนกันครับ ตอนนี้ผมยังไม่สามารถอ่านบทละครตอนที่ 16 ได้ครับ

Q. เอ แค่ตอนที่ 15 ก็น่าจะเดาทางได้แล้วนะคะ
A. ไม่ครับ มันไม่ใช่แบบนั้น ช่วงสุดท้าย อาจจะมีอะไรที่หักมุมกะทันหันก็ได้…อ่า จริงสิ เรื่อง <STARTUP> มีอะไรแนวนั้นอยู่ครับ ผมเองก็มีส่วนที่ตกใจอยู่เหมือนกันครับ มีเรื่องหักมุมแน่นอนครับ ผมสามารถบอกได้เพียงเท่านี้ครับ

Q. ค่ะ เป็นคำใบ้ที่ดีนะคะ (หัวเราะ) ช่วงนี้ในคลิป Youtube ที่คุณซอนโฮเคยไปออกเมื่อก่อน จะมีคอมเม้นท์แนวนี้อยู่ค่ะ ว่า “ฉันมาดูคลิปเพราะ ฮันจีพยอง”
A. ว้าว จริงหรอครับ? ยังไม่เคยเห็นเลยครับ รู้สึกดีจังเลย

Q. ตอนที่เห็น ฉันยิ้มกว้างเลยล่ะค่ะ เพราะดูเหมือนว่าสิ่งที่คุณทำมาเรื่อยๆ ตอนนี้ได้โอกาสเปล่งประกายหมดทุกอย่างแล้ว
A. ก่อนหน้านี้ ผู้กำกับ <2 Days & 1 Night> ก็เคยพูดไว้ครับ ว่าคลิปละครใน Youtube ทะลุเกินสิบล้านวิว <บ้าไปแล้ว! เพราะนายเลย!> พอเข้าไปดู ก็เห็นว่าเป็นแบบนั้นจริงๆ รู้สึกดีจริงๆครับ ละครสั้นที่ผมเข้าร่วมแสดง ผลลัพธ์ออกมาทำให้ใครสักคนมีความสุข มันคือเรื่องที่ดีใช่ไหมล่ะครับ เพราะงี้ก็เลยได้ส่งข้อความถึงผู้กำกับที่ไม่ได้ติดต่อกันมานาน ผมเองวันนั้นก็นั่งดูมันทั้งวันเลยครับ จริงๆแล้วช่วงนี้ผมถ่ายแต่ละคร เลยไม่ค่อยรับรู้ถึงความเป็นจริงเท่าไหร่ กระแสตอบรับเป็นอย่างไร พอมีผู้กำกับที่เคยทำงานร่วมกันเมื่อก่อน หรือรุ่นพี่ เพื่อนๆติดต่อมา บอกว่าดูละครอยู่นะ ทำได้ดีมากนะ ทำให้ผมตื่นเต้น และรู้สึกดีมากจริงๆครับ

Q. คุณชอบเดินเล่นมากเลยใช่ไหมคะ ตอนนี้การทำแบบนั้นไม่กลายเป็นเรื่องที่ทำได้ยากแล้วหรอคะ?
A. เมื่อไม่กี่วันก่อนก็เพิ่งเดินเล่นไปเองครับ…น่าจะจำกันไม่ได้ครับ เพราะว่าผมใส่แมสก์ ก็เลยไม่มีใครสักคนมาทักเลย ค่อนข้างผิดหวังนิดนึงครับ (หัวเราะ) ผมเดินแบบ ‘อืม~ก็โอเคดีนี่หน่า’ แบบนี้ครับ ฟังเพลงแล้วก็เดินเล่นในย่านมหาวิทยาลัย มีครั้งหนึ่งเคยเดินไปดูหนัง ก็ไม่มีใครจำได้ครับ เดินเล่นไปกลับอย่างเพลิดเพลินเลยครับ

ฮันจีพยอง <STARTUP> , เยโป (ต้นอ่อนวาไรตี้) <2 Days & 1 Night> และนี่คือ โลกของนักแสดงคิมซอนโฮ Part.2

Q. จริงๆฉันไม่ค่อยชอบการแสดงออกที่ดูเหมือน ‘คนโรแมนติก’ เท่าไหร่ แต่ตอนดูละคร <You Drive Me Crazy> ก็นึกถึงการแสดงแบบนั้นขึ้นมาเลย
A. เนื้อหาของละครเรื่องนั้น จริงๆแล้วก็เป็นเรื่องเล่าทั่วๆไปเลยครับ เพื่อนที่เคยสนิทมากจะกลายมาเป็นคนรักได้ไหม? หรือไม่ได้? แต่มันเป็นเรื่องพิเศษที่สุดสำหรับคนที่เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์นี้ เพราะฉะนั้นก็เลยคิดว่า ‘มาทำให้มันเป็นเรื่องธรรมดากัน เลือกแบบสบายๆง่ายๆที่สุด ระมัดระวังบ้าง ขี้ขลาดนิดหน่อยบ้าง มาทำตามใจตัวเองกันเถอะ’ ประมาณนั้นครับ เพราะมีความเห็นใจ ก็เลยคิดว่าน่าจะเป็นการตัดสินใจที่ไม่แย่เท่าไหร่ เพราะแบบนี้ แทนที่จะคิดว่าเป็นคนโรแมนติก ก็เลยคิดว่าตัวละครคิมแรวานกับผมมีความคล้ายกันมากกว่า

Q. คุณนักแสดงคิมฮเยซูก็เคยพูดแบบนั้นไว้ค่ะ ความโรแมนติกน่าจะเป็นเรื่องของการรักษาความรู้สึกแบบนั้นได้ดีแค่ไหน มากกว่าเป็นเรื่องอายุหรือประสบการณ์
A. โอ้ รุ่นพี่คิมแฮซุกก็เคยพูดไว้แบบนั้นเมื่อไม่นานมานี้เองครับ รุ่นพี่ถาม “นายอายุเท่าไหร่แล้ว?” ผมก็ตอบไปว่า “35 ครับ” รุ่นพี่ก็บอกว่า “ตอนนี้เพิ่งจะเริ่มต้น ต่อไปก็จะสามารถเล่นโรแมนติกได้อีกมาก” ผมก็บอก “อ่า จริงหรอครับ?” รุ่นพี่ตอบกลับว่า “แน่นอน ทำได้หมดแหล่ะ” เป็นการพูดคุยว่ายุคสมัยนี้เปลี่ยนไปมาก พอได้ฟังแล้วก็คิดแบบนั้นเช่นกันครับ ความรักไม่เกี่ยวกับเรื่องอายุเลยจริงๆ

Q. ถ้าคุณคิมแฮซุกพูดไว้แบบนั้น ก็น่าเชื่อถือแน่นอนค่ะ ท่านนั้นเคยแสดง <The Thieves> ละครโรแมนติกดราม่าวัยกลางคนได้อย่างน่าตกใจจริงๆ
A. เรื่องการแสดงที่ยอดเยี่ยมนั้น ทุกคนต่างก็ทราบกันดีครับ แต่ว่า ครั้งนี้ที่ได้มาทำงานร่วมกัน ผมกลายเป็นแฟนคลับของรุ่นพี่จริงๆครับ ‘ว้าว…แสดงบทแบบนี้ก็ได้หรอ?’, ‘ทำตาแบบนี้ได้อย่างไรนะ?’ มีครั้งหนึ่งรุ่นพี่มองผมด้วยตาแดงก่ำ ผมเลยคิดแบบนั้นครับ ‘ถ้าฉันต้องเป็นคนที่แสดงอันนี้ จะต้องทำอย่างไรนะ?’ และก็จะตอบตัวเองทันทีว่า ‘ไม่นะ ฉันจะเป็นแบบนี้ไม่ได้ ต้องมีสมาธิสิ” แบบนี้ครับ

Q. ทั้ง 2 ท่าน เล่นเป็นตัวละครที่มีความสัมพันธ์กัน ใน <STARTUP> แล้วเล่นเข้ากันได้ดีมากหลายซีนเลยค่ะ
A. ครับ เมื่อไม่นานมานี้ เราสองคนเพิ่งถ่ายฉากสุดท้ายที่จะถ่ายร่วมกันครับ จริงๆแล้ว…อันนี้เป็นความภูมิใจของผมเลยครับ ตอนนั้นรุ่นพี่เข้ามากอด แล้วพูดว่า “เรามาเจอกันอีกนะ การที่จะหาคนที่ส่งต่อความรู้สึกให้กันได้มันยากจริงๆ ไม่ว่าจะหนัง หรือละคร มั่นใจว่าพวกเราจะได้เจอกันอีกแน่ๆ” ผมก็ตอบกลับไปว่า “ขอบคุณมากครับ ขอบคุณที่เอ่ยชมแบบนั้นนะครับ” รุ่นพี่ก็บอกว่า “ไม่ๆ พูดจริงๆนะ จากใจจริงเลย” ผมรู้สึกดีใจมากจริงๆครับ

Q. น่าประทับใจจังเลยค่ะ เป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของคุณซอนโฮในฐานะแสดงเมื่อก่อน คือ ‘เป็นนักแสดงที่มีคนอยากร่วมงานด้วยอีกครั้งในอนาคต’ ใช่ไหมคะ
A. ใช่ครับ ตอนนี้ก็เป็นแบบนั้นครับ เพราะงั้นการที่รุ่นพี่บอกว่าให้มาเจอกันอีก ทำให้น้ำตาคลอเลยครับ รู้สึกดีมากๆ ในผลงานเรื่องนี้ คิดว่าน่าจะจดจำคำพูดของรุ่นพี่ไปตลอดชีวิต มากกว่าเรื่องอื่นๆแน่เลยครับ อยากจะขอบคุณจริงๆครับ

Q. คุณซอนโฮมาเริ่มออก TV ได้ประมาณ 3-4 ปีก่อน แต่ทราบมาว่าเล่นละครเวทีมามากกว่า 10 ปีแล้วใช่ไหมคะ
A. ครับ ตอนนี้ก็ยังเล่นละครเวทีอยู่ครับ กลายเป็นว่าช่วงนี้โลภกว่าเดิมอีกครับ อาจเป็นเพราะมีคนเก่งๆเยอะมั้งครับ ก่อนหน้านี้ก็ได้ไปดูละครเวทีที่รุ่นพี่ฮวังจองมินเล่นครับ แต่ว่าทึ่งมากจริงๆ เพราะว่าละครเวที รุ่นพี่ก็แสดงได้ดีมาก ผมคิดแบบนั้นครับ ‘จะต้องพยายามมากขนาดไหนนะ? แล้วรุ่นพี่ล่ะ?’ ผมคิดว่า(ความเก่ง)น่าจะเป็นไปตามสัดส่วนของความพยายามน่ะครับ

Q. ยังมีหลายคนที่เชื่อว่า เรื่องการแสดงนั้นไม่สามารถเทียบกับความพยายามได้อยู่นะคะ น่าจะมองโลกในแง่ดี อาจเป็นเพราะแบบนี้ เลยมีคำว่า ‘อัจฉริยะ’ แยกออกมาหรือเปล่าคะ…
A. ก็ใช่ครับ ไม่มีคำตอบไหนที่แน่นอนหรอกครับ ผมเองก็เคยเจอกรณีที่มีแค่ความพยายามก็ไม่พอบ่อย มีหลายครั้งที่ผมก็รู้สึกแบบนั้นกับตัวเอง แต่ถ้าคิดแบบนั้น ก็ดูหมดหวังเกินไปใช่ไหมล่ะครับ เพราะงั้น ผมเลยต้องคอยควบคุมจิตใจตัวเองครับ และก็สิ่งที่ผมให้ความมั่นใจกับตัวเองได้อย่างหนึ่งคือ ผมคิดว่า ถ้าผมพยายาม ก็ต้องมีการพัฒนาแน่นอน ถ้าเกิดว่ามีอะไรที่ทำไม่ได้ แสดงว่าผมขี้เกียจครับ

Q. แม้จะไม่รู้ว่าเรื่องอะไร แต่สำหรับคุณซอนโฮ การเชื่อในพลังของความพยายามดูเป็นเรื่องที่สำคัญนะคะ
A. ใช่ครับ แต่ว่า สิ่งที่เรียกว่าความพยายามนี้ ไม่ใช่การทุ่มความพยายามให้กับสิ่งนั้นอย่างเดียวนะครับ บางครั้งก็จะมีความพยายามเพื่อลดพลังตัวเองด้วยครับ พอพลาดไปก้าวหนึ่งก็บอกตัวเองว่า ‘อย่ายึดติดเกินไป’ ‘อย่าบังคับตัวเองว่าต้องทำให้ดีมากจนเกินไป’ การปลอบใจตัวเองแบบนั้นก็ถือว่าเป็นความพยายามครับ

Q. ตอนนี้เป็นนักแสดงที่ได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก แต่ได้ยินมาว่า สมัยเป็นนักเรียนโดนวิจารณ์อย่างรุนแรงหลายครั้ง ถึงจะเป็นอย่างนั้นก็ยังมีความคิดที่จะพยายามต่อไป
A. (หัวเราะ) “นายทำไม่ได้หรอก” ผมคือนักเรียนที่ได้ยินคำพูดแบบนั้นมา ตอนเข้ามหาวิทยาลัย อาจารย์ก็พูดแบบนั้นครับ พูดกันตามตรงฉันคิดว่านายไม่น่าจะทำได้ การออกเสียงก็ไม่ค่อยดี…

Q. เขาบอกว่าคุณซอนโฮออกเสียงไม่ดีเหรอคะ?
A. ครับ ตอนนั้นนะ
Q. ตอนได้ยินเสียงคุณซอนโฮ ฉันนึกถึงร็อคสตาร์ บิลลี สเควียร์ (Billy Squier) เลยค่ะ…คิดว่าติดตัวมาตั้งแต่เกิดเสียอีก
A. ว้าว จริงเหรอครับ? เป็นครั้งแรกที่ได้ยินว่าเหมือน บิลลี สเควียร์ รู้สึกเป็นเกียรติมากครับ แต่ว่าตอนนั้นผมก็ไม่ได้คิดว่าตัวเองเสียงแย่นะครับ แต่ว่าการออกเสียง เหมือนกินอะไรอยู่ในปาก อันนั้นถ้าใช้ชีวิตตามปกติก็ไม่เป็นไรครับ แต่มักจะเป็นปัญหา เวลาทำอะไรต่อหน้ากลุ่มคนเยอะๆ เพราะว่าตื่นเต้น ดังนั้น เพื่อที่จะกำจัดเรื่องนี้ทิ้งไป ก็เลยฝึกฝนทุกวันครับ ตอนนี้ก็ยังเป็นอยู่ครับ ก่อนหน้านี้ ออกเสียงคำว่า ‘ทูจาจา (นักลงทุน)’ ได้ไม่ดี ก็เลยฝึกทั้งวัน ‘ทูจาจา, ทูจาจา…’ ก่อนจะไปเข้าฉากครับ ทุกครั้งที่เกิดเหตุการณ์แบบนั้น ผมก็จะคิดอย่างนี้เสมอครับ ว่าเรื่องความพยายามยังเป็นสิ่งที่สำคัญสำหรับคนอย่างผมอยู่ครับ

Q. ได้ยินมาว่าตอนเด็กมีนิสัยชอบกังวลและ มีความเป็น Introvert เพราะว่าเคยเจอกับโจรที่เข้ามาในบ้าน เลยฝังใจแบบนั้
A. ครับ มันมีผลกระทบต่อความทรงจำอยู่ ตอนนี้พอลองนึกถึงแล้ว ก็มีส่วนที่คล้ายกับคุณแม่อยู่เยอะครับ คุณแม่ของผมก็เป็น introvert และขี้กลัวมากครับ เวลาอยู่ต่อหน้าผู้คนจะพูดไม่ค่อยได้ อย่างเวลาถ่ายรูปตอนถ่ายทำตอนนี้เหมือนกัน น่าจะถ่ายไปแค่ 1-2 รูปได้? ก่อนหน้านี้ที่ไปที่โรงละคร หลายคนก็บอกให้ถ่ายรูปกับลูกชาย คุณแม่ก็จะ “โอ พอแล้วค่ะ พอแล้วค่ะ” แล้วก็ถอยไปอยู่ด้านหลังโรงละครเลย ทุกคนก็หัวเราะกัน

Q. คุณแม่น่าจะเป็นคนที่อ่อนโยนมากเลยนะคะ ตอนที่คุณซอนโฮได้รับรางวัลนักแสดงหน้าใหม่ แล้วคุณแม่ร้องไห้ พร้อมกับอ่านจดหมายที่เขียนให้คุณซอนโฮด้วย ฉันเกือบจะร้องไห้ตามเลยค่ะ คุณแม่พูดไว้ว่า “เขามาจากหมู่บ้านเล็กๆ ไม่ค่อยมีอะไรให้เรียนรู้เท่าไหร่ ฉันรู้สึกขอบคุณและมีความสุขมาก ที่เขาเป็นคนดีไม่พูดว่าร้าย หรือทำร้ายคนอื่น ตั้งใจทำงานของตัวเองให้ดี”
A. อ่า…ใช่ครับ (ถูจมูก) ก่อนหน้านี้ ผมเคยได้รับการทดสอบทางจิตวิทยาในรายการ <2 Days & 1 Night> แล้วเห็นน้ำตาใช่ไหมล่ะครับ ตอนนั้นก็เหมือนกันครับ คุณแม่ดูและก็ร้องไห้อยู่คนเดียว แม่ไม่กล้าบอกว่าดูรายการ แต่เพราะผมบอกก่อนว่า “ได้ทดสอบทางจิตวิทยาในรายการ <2 Days & 1 Night> มา” แม่ก็เลยบอกว่าได้ดูเมื่อวานก่อน แต่แม่ก็เสียใจที่ไม่ได้พูดอะไร เพราะดูเหมือนผมจะผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากมา

Q. น่าจะเพราะคุณแม่เห็นความลำบากที่ไม่มีใครรู้ของลูกชาย
A. เพราะงี้ผมก็เลยบอกไปว่า ไม่ใช่แบบนั้น ไม่ใช่แบบนั้นแน่นอน มันแค่ ตอนนั้น…แบบว่า เหมือนจะไม่มีอะไรสักอย่างที่ทำได้ดีเลย ก็เลยเสียใจนิดหน่อย รายการวาไรตี้ก็เป็นแบบนั้น การแสดงด้วย ตอนนั้นก่อนที่ละคร <STARTUP> จะออนแอร์ครับ ในหัววุ่นวายไปหมด เพราะว่าโลภอยากจะทำให้ดีมากเกินไป ผิดปกติใช่ไหมครับ (หัวเราะ) แต่เพราะต้องสุขุม ก็เลยต้องควบคุมจิตใจตัวเองครับ แต่ว่า ถ้าเกิดมีใครมาพูด ‘กังวลอยู่ใช่ไหม? ทำได้ดีแล้วนะ’ ผมก็จะตอบกลับและพยักหน้า แต่จริงๆไม่ได้ยินสิ่งที่เขาพูดอธิบายเลย เพราะได้แต่คิดในหัวตลอดว่า ‘กลั้นไว้ กลั้น(น้ำตา)ไว้’

Q. เป็นความลำบากที่มีอยู่แค่ในงานของนักแสดงสินะคะ แม้ว่าจะเป็นงานที่โชว์ให้ภายนอกเห็นเยอะ แต่ถ้าเทียบกันแล้ว การแสดงก็เป็นงานที่โดดเดี่ยว ทุกอย่างต้องเลือก และหลายคนก็กำลังวิ่งไปตามทางเลือกนั้น
A. อาจจะเพราะว่าผมอยู่คนเดียวมาตลอดตั้งแต่แรก? ใช้ชีวิตคนเดียว สบายใจกับการอยู่คนเดียว แต่ตอนนี้มีสมาชิกในครอบครัวเพิ่มขึ้น และมีคนที่รู้สึกขอบคุณอยู่บ่อยๆ ผมเป็นคนที่ไม่ค่อยถนัดเรื่องการจะติดต่อพูดคุยกับใครสักคน พอเป็นแบบนั้นแล้ว ก็กลายเป็นความคิดแบบนี้บ่อยๆครับ ความคิดที่ว่า ถ้าเกิดผมเลือกเส้นทางผิด ผมจะกลายเป็นใครในสายตาคนเหล่านั้น แม้จะมีบางครั้งที่รู้สึกว่าเป็นความหนักใจที่ดี แต่บางช่วงเวลาก็ทำให้ผมคิดมากเหมือนกัน เหมือนกับการตีด้วยแส้ครับ แบบจริงๆแล้ว ผมก็ทำได้ดี และสนุกกับมันอยู่ น่าจะเป็นการคิดมากในแต่ละช่วงเวลามากกว่า เหมือนกับที่ทุกๆคนเป็น

Q. เหมือนจะเป็นแบบนั้นค่ะ ไม่ใช่เรื่องน่าเศร้า แต่เป็นความมุ่งมั่นอย่างบริสุทธิ์ใจ อีกทั้งยังอยากเปิดใจให้กับทีม <2 Days & 1 Night> ด้วยใช่ไหมคะ
A. ครับ เหมือนจะสนิทกันมากขึ้นเรื่อยๆครับ ตอนนี้ก็ยังสนิทกันมากขึ้น แม้ว่าจะไม่สามารถแสดงภาพลักษณ์ของผมใน <2 Days & 1 Night> ได้อย่างครบถ้วน เพราะยังมีหลายส่วนที่ผมยังกังวล เลยโชว์ให้ดูไม่ได้ใช่ไหมล่ะครับ แต่พอได้โชว์ให้ดูแล้ว ผมก็รู้สึกผ่อนคลายขึ้นครับ ทุกคนช่วยกังวลไปด้วยกันว่าจะมีเรื่อง หรือไม่มีเรื่องแบบไหนเกิดขึ้น จนเกิดสิ่งที่เรียกว่า ความรู้สึก ครับ ทั้งพี่สาวที่เขียนบท, PD บังกือลี (พีดีหน้ายิ้ม) และสตาฟทุกท่าน ตอนที่ทดสอบทางจิตวิทยา ตอนแรกผมไม่รู้ว่าต้องทำอะไร เลยวาดรูปเล่นๆล้อเลียนไป แต่ว่าตอนที่ทุกคนเห็นน้ำตา จู่ๆดินดินก็วิ่งเข้ามากอดครับ เมมเบอร์คนอื่นก็ส่งข้อความแยกมาหาผมทีละคน เป็นความรู้สึกที่ดีมากครับ

Q. จริงๆแล้ว ฉันต้องขอโทษในเรื่องนี้ด้วย ที่ไม่ได้ดูละครเวทีของคุณซอนโฮสักเรื่อง แล้วมาสัมภาษณ์แบบนี้ เพราะว่าฉันไม่ใช่คนที่ดูละครเวทีมากเท่าไหร่…
A. อ่า งั้น ถ้ามีโอกาส ต้องมาดูนะครับ ผมขอเรียนเชิญครับ เพราะตั้งแต่เดือนมกราคมนี้จะมีละครเวทีครับ
Q. ไม่สิ ทำไมพูดอะไรแบบนั้นตอนนี้ล่ะคะ ไทม์มิ่งเวลาสัมภาษณ์มาได้พอดีเป๊ะขนาดนี้ ต้องพูดโปรโมตสิ
A. (หัวเราะ) เป็นละครเวทีชื่อเรื่องว่า <ICE> ครับ เป็นเนื้อหาเกี่ยวกับนักสืบ 2 คน ที่ต้องสอบสวนเด็กหนุ่มที่ตกเป็นผู้ต้องสงสัยในคดีฆาตรกรรมครับ แต่ว่าบนเวทีจะไม่มีเด็กหนุ่ม เป็นบทสนทนาที่เหมือนผมพูดคุยคนเดียวครับ

Q. ฟังดูเป็นผลงานที่ล้ำสมัยมาก ประจวบเหมาะกับส่วนที่ฉันจะถามพอดี คุณซอนโฮที่อยู่บนละครเวที จะแตกต่างออกไปอย่างไรคะ? คนที่รอชมละครเวที <ICE> สามารถคาดหวังอะไรได้บ้างคะ?
A. เป็นเพราะท่านที่วิจารณ์ละครเวทีเรื่องหนึ่งกับนักเขียนบท ทำให้ผมได้เดบิวต์ละครโทรทัศน์เรื่อง <Good Manager> ครับ ท่านนั้นพูดถึงผมไว้ว่า ผมเหมือน ‘ไม่มีการปรุงแต่ง’ จริงๆผมก็เป็นเหมือนที่คนนั้นพูดเอาไว้ ถ้าเรียกฮันจีพยองว่าเป็นคนที่ค่อนข้างเป็นระเบียบนิดหน่อย และแข็งกระด้าง ครั้งนี้ก็น่าจะได้เห็นภาพลักษณ์ใหม่ที่เพิ่มเอเนอร์จี้เข้ามาอีกนิด

Q. โอ้ เป็นเพราะชื่อเรื่องของละเวทีใช่ไหม? ฉันนึกถึงฉากที่คุณซอนโฮจะตะโกนกลางอากาศคนเดียวเลย
A. ผมก็คิดว่าน่าสนุกดีนะ อยากจะทำให้ดีจริงๆ ถ้าเกิดมีเวลา ต้องมาดูนะครับ คุณนักข่าวซองยุน

ที่มา https://www.esquirekorea.co.kr/article/50226

 

Share this:

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *