แปลสัมภาษณ์นักเขียน ชินฮาอึน (คำถามที่1) จากหนังสือบทละคร Hometown ChaChaCha

Q. อยากถามเกี่ยวกับผลงานที่ต้นฉบับคือภาพยนตร์ <Mr.Handy, Mr.Hong> เยอะมาก อะไรคือสิ่งที่ทำให้ตัดสินใจเขียนภาพยนตร์ดังกล่าวเป็นละคร การรีเมคผลงานต้นฉบับมีความกดดันมากไหม มีส่วนไหนบ้างที่ยากเมื่อต้องเอาผลงานในปี 2004 มาใส่ในปี 2021 หรือมีส่วนไหนที่คิดว่าต้องคงเดิมไว้บ้าง?

ชินฮาอึน : ฉันรับผิดชอบรีเมคด้วยข้อเสนอของ PD ที่ทำงานร่วมกันในตอนนั้น ที่จริงแล้วในตอนแรกนั้น ฉันแค่พิจารณาและคิดว่าจะปฏิเสธ มีเหตุผลที่รู้สึกกดดันโดยเป็นเหตุผลส่วนตัว ทว่าพอได้ลองพูดคุยกับ PD ก็ทำให้ฉันสนใจลักษณะของตัวละครพระเอก-นางเอก และถูกชักชวนอย่างง่ายดาย สุดท้ายแล้วฉันก็คิดว่านี่อาจจะเป็นโชคชะตาหรือเปล่า

พอเริ่มทำงาน สิ่งที่ฉันให้ความสำคัญมากที่สุด แน่นอนว่าคือ ตัวละคร ในภาพยนตร์ <Mr.Handy, Mr.Hong> ฉันก็คิดว่าเป็นผลงานที่มีลักษณะของตัวละครที่โดดเด่นหาได้ยากในวงการภาพยนตร์เกาหลีเช่นกัน ก่อนอื่นก็คิดว่าจะรักษาเสน่ห์ดั้งเดิมของต้นฉบับไว้ให้มากที่สุด ในกรณีของ ‘ฮเยจิน’ ก็รักษาความน่ารัก และอยากโชว์ให้เห็นภาพลักษณ์ที่พัฒนาขึ้น เนื้อหาผ่านมาประมาณ 17 ปีแล้ว ตั้งแต่ปี 2004 ความอ่อนไหวทางเพศสภาพก็เปลี่ยนไป ฉันจึงตั้งใจวาดภาพเธอให้เป็นผู้หญิงสมัยใหม่ และมองการณ์ไกล โฟกัสกับภาพลักษณ์คนเห็นแก่ตัวจากโซลที่ต้องมาอยู่กงจินแล้วมีความรัก และเติบโตขึ้นมาอย่างกล้าหาญ

ตัวละคร ‘หัวหน้าฮง’ ที่ตอนนี้กลายเป็นคำนามเฉพาะ ก็ตั้งใจตีความหมายใหม่เช่นกัน โดยเฉพาะในต้นฉบับ ความลึกลับของดูชิกที่ยังดูคลุมเครือ และปรากฏตัวเพียงแค่ข่าวลือนั้นน่าสนใจ ส่วนที่เป็นช่องว่างตรงนั้น ฉันคิดว่าสามารถสร้างตัวละครที่ซับซ้อน และเต็มไปด้วยความหวาดกลัวได้ ฉันตั้งใจอย่างมากที่จะร่างภาพความลึกลับนั้นออกมา ฉันค้นหาประเภทงานทุกอย่างที่มีในโลกเลยค่ะ ฉันเห็นข้อความหลายอันที่คาดเดาเรื่องในอดีตของดูชิกตอนที่ออนแอร์ สิ่งที่ทุกคนคิด ฉันเองก็คิดทั้งหมดเช่นกันค่ะ เจ้าหน้าที่หน่วยข่าวกรองแห่งชาติ, หมอ, ทนายความ และอื่นๆ แต่สุดท้ายฉันก็ได้ข้อสรุปว่า กำหนดให้เขาเป็นตัวละครธรรมดาที่ต้องเผชิญหน้ากับความจริง น่าจะดูเหมาะสมกว่า ดังนั้นจึงตัดสินใจเลือก ‘ผู้จัดการกองทุน’ เพราะสามารถอธิบายถึงค่านิยมและการใช้ชีวิตในปัจจุบันของดูชิก พร้อมกับเป็นอาชีพที่ยืนอยู่ใจกลางระบบทุนนิยม และภาพลักษณ์ตรงข้ามแบบ 180 องศาจาก ‘หัวหน้าฮง’ โดยสิ้นเชิง

ในกรณีของต้นฉบับ จะดำเนินเรื่องโดยเน้นเรื่องราวของตัวละครหลัก ตัวละครอื่นๆส่วนใหญ่ปรากฎตัวออกมาแค่บทบาทสมทบเท่านั้น เพราะแบบนั้น จึงต้องแต่งเรื่องของตัวละครอื่นขึ้นมาใหม่เกือบทั้งหมด ฉันพยายามสร้างตัวละครทั่วไปที่สามารถพบเห็นได้ในชีวิตจริงสักแห่ง

สุดท้าย ฉันอยากให้มีอารมณ์เฉพาะตัวของภาพยนตร์สมัยก่อนที่อบอุ่นและนุ่มนวล ทางผู้กำกับและทีมงานทุกท่านก็ช่วยทำให้เป็นรูปเป็นร่างที่สมบูรณ์ อยากจะขอกล่าวขอบคุณอีกครั้งค่ะ

——————

สัมภาษณ์นักเขียนชินฮาอึน (คำถามที่2) จากหนังสือบทละคร Hometown ChaChaCha

Q. น่าจะพอคาดการณ์ไว้แล้วว่า จะมีผู้ชมที่ทั้งชอบและไม่ชอบการใช้ ‘คำพูดเป็นกันเอง’ ของดูชิก ถ้าเช่นนั้น เหตุผลสำคัญที่เขียนออกมาแบบนี้คืออะไรคะ? แฟนละครเคยตีความว่า ดูชิกที่เคยเผชิญเหตุการณ์สะเทือนใจใช้ ‘คำพูดเป็นกันเอง’ เป็นกลไกป้องกันตัว และใส่หน้ากากที่เรียกว่า ‘หัวหน้าฮง’ เพื่อซ่อนความรู้สึกภายในของตัวเอง คุณนักเขียนคิดอย่างไรกับการตีความนี้คะ?

ชินฮาอึน : เรื่องการใช้ ‘คำพูดเป็นกันเอง’ ของดูชิก เป็นส่วนที่คิดหนักมากจนวินาทีสุดท้ายเลยค่ะ คาดการณ์ถึงการตอบรับที่อาจจะไม่ชอบ และกังวลเช่นกัน แต่ในขณะเดียวกัน ก็เป็นเรื่องของ ‘การประนีประนอม’ และ ‘ความสมดุล’ ที่จะช่วยโน้มน้าวใจ ถ้าบอกว่ารู้สึกเหมือนเดินไต่เชือก 100 m อยู่กลางอากาศ จะเชื่อไหมคะ

ในตอนแรกนั้น สิ่งนี้เป็นสิ่งที่มีอยู่ในต้นฉบับเดิม เป็นวิธีการแสดงออกนิสัยของดูชิกที่ดูลึกลับและเหมือนแข็งกระด้าง และเป็นสิ่งที่ช่วยสร้างความสัมพันธ์กับฮเยจิน แต่ทว่า ปัจจุบันในปี 2021 ไม่สามารถเขียนตัวละครหลักผู้ชายที่ใช้คำพูดเป็นกันเองกับผู้หญิงที่เจอกันครั้งแรก ด้วยเหตุผลที่ว่าพวกเธอดูเด็กกว่าตัวเองได้ ที่จริงแล้ว ในร่างต้นฉบับที่ฉันลองเขียน ฉันให้ดูชิกใช้คำสุภาพยกย่องค่ะ แบบนั้นทำให้ดูหยาบคายเพียงเล็กน้อย แต่ก็กลายเป็นตัวละครที่ดูเหมือนมีอารมณ์ประชดประชันที่เคยพบเห็นที่ไหนสักแห่ง ตัวละครหัวหน้าฮง กลายเป็นตัวละครที่มีความลึกลับ และเสน่ห์แปลกๆ ขัดแย้งกันอยู่ ความรู้สึกที่เป็นอิสระ และไม่ธรรมดาก็หายไป การพูดเป็นกันเองทำให้เขาสนิทกับฮเยจินอย่างรวดเร็ว และมองว่าเป็นเพื่อนวัยเดียวกัน อีกทั้งความสนุกสนานในละครก็ไม่ได้แปลกไป สุดท้ายจึงต้องตัดสินใจเลือกในฐานะนักเขียนค่ะ

ฉันคิดว่าต้องสร้างเหตุผลที่ดูสมเหตุสมผลในการใช้ ‘คำพูดเป็นกันเอง’ ค่ะ ก่อนอื่นเป็นการแสดงให้เห็นตัวละครที่มีความแปลกประหลาดตั้งแต่เริ่มต้น โดยมีปรัชญาดันทุรังที่จะใช้คำพูดเป็นกันเองกับทุกคน นี่เป็นภาพลักษณ์ของดูชิกที่ฮเยจินเจอในครั้งแรก และเป็นความประทับใจแรกของดูชิกที่ทำให้ทุกคนตื่นตระหนก ฉันเข้าใจว่าทุกคนและฮเยจินคงมีปฏิกิริยาตอบรับแบบไม่พอใจว่า

“ทำไม…ใช้คำพูดเป็นกันเอง?” นี่คือภาพลักษณ์ของดูชิกก่อนที่จะเปิดเผยเรื่องราว

เมื่อผ่านไปแต่ละตอน ความมืดมนและความเหงาของดูชิกก็เริ่มปรากฏออกมา พร้อมกับสัมผัสได้ถึงความแตกต่างสักจุดของหัวหน้าฮงที่ใช้คำพูดเป็นกันเอง ที่จริงแล้ว ไม่ได้วางไว้อย่างชัดเจนตั้งแต่แรกว่า ‘คำพูดเป็นกันเอง = เกราะป้องกัน’ ฉันคิดว่า ‘หัวหน้าฮง’ ที่ร่าเริง เป็นมิตรไปทั่ว ใช้คำพูดเป็นกันเอง แกล้งทำเหมือนว่าสนิทกับทุกคน เพื่อซ่อนและเอาชนะบาดแผลของตัวดูชิกเอง แต่ทว่าพอเขียนตอนที่ 9 เรื่องราวของดูชิกกับแทฮวา (คุณพ่อของฮเยจิน) ฉันก็ตระหนักขึ้นมาได้ ตอนที่ดูชิกพูดความรู้สึกจากใจจริง เขากำลังใช้คำพูดสุภาพยกย่อง พอได้ลองเขียนบท บางครั้งตัวละครก็มีชีวิตและเคลื่อนไหวได้ด้วยตัวเอง ตอนนั้นก็เช่นกัน ฉันคิดว่า ฉันเองก็ได้เข้าใจตัวละครดูชิกอย่างสมบูรณ์ในตอนนั้น แต่ว่า สำหรับท่านที่ยังรู้สึกไม่สบายใจกับคำพูดเป็นกันเอง จะฝากคำดุของแทฮวาไว้ให้ “ดีกับแกคนเดียวน่ะสิ ไอ้เด็กเวร!” หวังว่าจะสบายใจขึ้นนะคะ!

อย่างไรก็ตาม ไม่ได้หมายความว่า หัวหน้าฮงไม่ใช่ดูชิกนะคะ หัวหน้าฮงเป็นภาพลักษณ์ใหม่ของดูชิกที่มีชีวิตชีวาขึ้นมาอีกครั้งเพราะจองอูและชาวกงจิน อีกทั้งยังเป็นคนแบบที่ดูชิกอยากเป็นจริงๆ

เป็นคนที่ใช้ชีวิตเพื่อคนรอบตัว เป็นคนที่ช่วยเหลือทุกคน เป็นคนที่ได้รับความรักจากทุกที่ ในขณะเดียวกัน ก็เป็นคนที่เหมือนเจ้านายของชีวิตตนเอง และไม่ฝันร้าย เป็นภาพลักษณ์ที่เต็มไปด้วยความปรารถนาอย่างแรงกล้าของดูชิกที่อยากเป็นอิสระแบบนั้น ความอ่อนแอของดูชิก หวังว่าจะแสดงออกมาในทางตรงกันข้าม

—————

สัมภาษณ์นักเขียนชินฮาอึน (คำถามที่3) จากหนังสือบทละคร Hometown ChaChaCha

Q. ฮเยจินกับดูชิก ที่ใช้ชีวิตต่างกันสุดขั้ว! เรื่องราวของทั้งคู่ที่ถึงแม้จะทะเลาะกัน แต่ก็ตกหลุมรักกันและกันนั้น ช่างงดงามมากจริงๆ อยากทราบว่า มีส่วนไหนที่ใส่ใจเป็นพิเศษเพื่อที่จะวาดเส้นอารมณ์ของตัวละครหลักทั้งสองได้อย่างเป็นธรรมชาติ ไม่ดูเยอะ หรือรวดเร็วเกินไปเหมือนกับละครโรแมนติกที่เห็นบ่อยๆ

ชินฮาอึน : ที่จริงแล้ว ละครของพวกเรา ระดับความเร็วในการสานสัมพันธ์ของตัวละครหลักทั้งสองคนนั้นช้าพอสมควร อีกทั้งยังคบกันช้าไป เหตุผลนั้นเป็นเพราะเอกลักษณ์เฉพาะตัวของตัวละครที่ชื่อว่า ‘ดูชิก’ เรื่องราวของดูชิกดำเนินไปโดยการเล่าแบบลึกลับ จึงไม่สามารถที่จะดำเนินเรื่องเหมือนละครโรแมนติกทั่วไปได้ตั้งแต่ต้น ไม่ใช่สถานการณ์ที่ดูชิกจะเริ่มรักกับฮเยจินได้อย่างรวดเร็ว และความลับของดูชิกก็ไม่ใหญ่พอที่จะใช้เป็นความขัดแย้งในช่วงกลางเรื่องได้ ดังนั้นฉันจึงโฟกัสที่เส้นอารมณ์ของตัวะละครอย่างละเอียด

ในตอนแรกนั้น ชายหญิงสองคนที่ต่างกันสุดขั้วได้ขัดแย้งและใกล้ชิดกันมากขึ้นเรื่อยๆ และสัมผัสได้ถึงความรู้สึกแปลกๆ ในเรื่องราวนั้น ฮเยจินคิดหนักกับปัญหาสภาพความเป็นจริงก่อน สิ่งที่เรียกว่า ‘ตำแหน่งทางสังคม’ ก็ได้มีการแสดงออกอย่างไม่มีมารยาทในระดับหนึ่ง ในขณะเดียวกัน ทางด้านดูชิกก็พยายามหลีกเลี่ยงหัวใจของตัวเอง และขีดเส้นคำว่า ‘เพื่อน’ เอาไว้ ที่จริงแล้วเป็นเรื่องยากและน่าเสียดายที่ต้องหยุดความรู้สึกของทั้งสองคนที่ขยายตัวมากขึ้นอีกระดับในช่วงตอนที่ 3-5 และอีกครั้งช่วงตอนที่ 6-7 แต่ทว่าเมื่อพิจารณาถึง

สถานการณ์ของดูชิก จำเป็นต้องมีขั้นตอนการเปลี่ยนจากคนคุยเป็นเพื่อน และการที่จะรับรู้ถึงหัวใจตัวเองจากความสัมพันธ์เพื่อนที่คลุมเครือที่สุดอีกครั้งนั้น จำเป็นต้องมีบทบาทของซองฮยอน และการปรากฎตัวของครอบครัวฮเยจินก็กลายเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญ ในขั้นตอนเหล่านั้น ฮเยจินรวบรวมความกล้าก่อน ความรู้สึกของฮเยจินที่ไร้เดียงสาและเผชิญหน้าอย่างไม่ยั้งคิด ทำให้ดูชิกยอมปลดล็อคตัวเอง

หลังจากเริ่มคบกัน ทั้งสองคนที่มีความสุขอยู่สักพักก็เผชิญกับวิกฤตอีกครั้ง ฮเยจินฝันถึงอนาคตร่วมกับดูชิก แต่ดูชิกไม่สามารถทำแบบนั้นได้ทันทีทันใด ที่จริงแล้วในสถานการณ์นี้ ฉันก็คิดหนักว่าควรเขียนแบบรุนแรงมากขึ้นกว่านี้อีกนิดดีไหม แต่ทว่า เพราะเป็นความรักที่เริ่มต้นกันได้ยากมากๆ จึงไม่อยากให้ทั้งสองคนต้องเลิกกันเพราะความโลภที่จะเขียนสถานการณ์ดราม่า แม้ดูชิกจะไม่สามารถเปิดเผยตรงไปตรงมากับฮเยจิน แม้จะเห็นท่าทางเฉยชาเหมือนกับกำลังลังเล แต่ก็ไม่พูดคำว่าเลิกกันเถอะเป็นอันขาด แม้จะเชื่อว่าตัวเองไม่มีคุณสมบัติที่จะมีความสุข แต่ก็ไม่สามารถปล่อยเชือกที่เรียกว่าฮเยจินได้ แน่นอนว่าสิ่งนั้นคือความรัก ฮเยจินก็เป็นเช่นเดียวกัน

ฉันนับถืออย่างจริงใจในความกล้าของเธอที่พุ่งเข้าไปทั้งตัวแม้จะสัมผัสได้ถึงกำแพงของดูชิก ทั้งสองคนเป็นเหมือนคนที่ช่วยเหลือและความอบอุ่นใจของกันและกัน คิดเพียงเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม เรื่องราวนี้ก็อาจจะมีคนที่คิดว่าน่าเบื่อได้เช่นกัน และมีคนที่กังวลว่าเรื่องดำเนินช้าไปตอนที่เห็นโครงเรื่องครั้งแรกเช่นกัน แต่ทว่า ฉันก็พูดอย่างไม่คิดว่าจะลองเขียน ‘คนคุย’ ออกมาให้ดี ตอนนี้ก็ยังไม่รู้เหมือนกันว่าเอาความกล้ามาจากไหนค่ะ

—————–

สัมภาษณ์นักเขียนชินฮาอึน(คำถามที่4)จากหนังสือบทละคร Hometown ChaChaCha

Q. มีนักอ่านหลายคนที่อยากรู้ว่าดูชิกรู้ตัวตอนไหนว่ารักฮเยจิน และรักฮเยจินมากแค่ไหน แม้จะเป็นเพราะเหตุการณ์ฝังใจของดูชิก แต่ก็จะมีฉากที่เวลาดูชิกจะพูดบางอย่าง จะต้องมีสถานการณ์บางอย่างมาขวางความในใจทุกครั้ง ถ้าไม่ถูกคนร้ายจู่โจมก่อน ตอนที่ 9-10 ดูชิกจะสารภาพรักกับฮเยจินไหม? ช่วงท้ายตอนที่ 10 ตอนที่ฮเยจินสารภาพรัก ดูชิกพูดว่า “คุณหมอ, ผม…” คำพูดที่จะพูดต่อหลังจากนั้น เป็นคำปฏิเสธหรือเปล่าคะ?

ชินฮาอึน : ดูชิกรู้ตัวว่ารักฮเยจินตั้งแต่เมื่อไหร่ ในจุดนั้น อยากให้เป็นไปตามความคิดของทุกคนค่ะ ฉันไม่ได้เขียนแล้วคำนึงถึงจุดใดเป็นพิเศษค่ะ แต่ทว่าดูชิกสนใจฮเยจินตั้งแต่ตอนช่วงท้าย EP.1 ตอนที่ฮเยจินเล่าเรื่องแม่ใน EP.4 ก็มีความรู้สึกร่วมไปด้วย (ในขณะเดียวกันก็โดนจูบด้วย) ในช่วงท้าย EP.5 ก็สัมผัสได้ถึงความอุ่นใจกับการมีตัวตนอยู่ของฮเยจินและสามารถหลับได้อย่างสบายใจ ค่อยๆแทรกซึมเข้าไปเรื่อยๆ และในช่วงเวลาหนึ่งก็เป็นการเหมาะสมที่จะแสดงออกว่ารักไปแล้ว

เส้นอารมณ์ของดูชิกจนถึงช่วงกลางเรื่อง ไม่ได้เปิดเผยออกมาโดยตรง เนื่องจากเรื่องราวถูกปกปิดไว้, ตัวละครที่ชื่อดูชิกไม่สามารถแสดงออกว่าใกล้ชิด หรือซื่อตรงต่อความรู้สึกของตัวเองได้ บางทีอาจจะสัมผัสได้ถึงความใจร้ายและการเมินเฉย เพราะเหตุนี้ ความรักของดูชิกที่มีต่อฮเยจิน ถ้าแสดงออกมาเพียงเล็กน้อย นั่นคือความหละหลวมของฉัน ไม่สามารถหาวิธีที่ดีกว่านี้ได้และซ่อนเฉลยเอาไว้ในช่วงท้าย ทว่าหลังจากชมละครช่วงครึ่งหลัง ถ้าลองพิจารณาเส้นทางของดูชิกตั้งแต่ช่วงแรก อาจจะสัมผัสถึงสิ่งนี้ได้ นั่นคือความกล้าของดูชิกในทุกย่างก้าวที่จะเดินเข้าไปหาฮเยจิน

และที่จริงแล้ว มีช่วงที่ดูชิกเกือบจะดึงความกล้าหาญออกมาได้ ในตอนที่ 9 ที่พบแทฮวากับมยองชินก็เช่นกัน ตอนที่ซองฮยอนพูดกับดูชิกที่ดูเหมือนยังไม่จบบทบาทแฟนหนุ่ม ดูชิกเผชิญหน้าและกล่าวว่า “ถ้าเห็นเป็นแบบนั้น ก็คงเป็นแบบนั้นแหล่ะ” เป็นช่วงที่เปิดเผยความรู้สึกกับคนอื่นในฐานะดูชิก และก็ในคืนวันนั้น ดูชิกที่คิดหนักก็นึกถึงคำพูดของแทฮวาและออกไปหาฮเยจิน ถ้าคนร้ายไม่ปรากฎตัว บางทีดูชิกก็อาจจะสารภาพรักก็ได้ แต่ฉันคิดว่าไม่น่าจะทำได้สำเร็จภายในครั้งเดียว ต่อให้ไปหาด้วยความตั้งใจเช่นนั้น แต่ดูชิกจะต้องลังเลแน่นอน ที่จริงแล้ว หลังจากที่คนร้ายบุกเข้ามา ดูชิกก็อยู่ที่บ้านตัวเองกับฮเยจินสองคน แต่ก็ไม่สารภาพรัก เพียงแค่อ่านบทกวี ‘Doorkeeper’ ให้ฮเยจินฟัง และชะงักตอนท่อน ‘ดังนั้น การปฏิเสธความรักของตัวเอง คืองานของฉัน’ อาจจะสารภาพรักก็ได้ หรืออาจจะปฏิเสธก็ได้ มีเพียงใจเขาเท่านั้นที่รู้

ตอนที่ฮเยจินสารภาพรักในตอนที่ 10 ก็เช่นกัน ในตอนแรกนั้นพยายามตั้งสติ แม้จะรักฮเยจินแต่ก็ไม่กล้าที่สานสัมพันธ์ “คุณหมอ, ผม…” แม้ว่าฉันจะไม่ได้คิดบทต่อจากนั้น แต่เข้าใจถูกต้องแล้วว่าตั้งใจจะปฏิเสธ แต่ทว่าก็ต้องพังลงเพราะคำว่า ‘ฉันทำอะไรไม่ได้แล้วล่ะ’ ของฮเยจิน

——————-

สัมภาษณ์นักเขียนชินฮาอึน (คำถามที่5) จากหนังสือบทละคร Hometown ChaChaCha

Q. การปรับเปลี่ยนความคิดที่โบราณเกี่ยวกับ ‘บทบาททางเพศ’ และ ‘ละครโรแมนซ์’ ทำให้ได้รับความสนใจและความรักมากมายจากผู้ชม อยากทราบว่ามีเหตุผลอะไรที่คิดว่าต้องเขียนออกมาแบบนี้ และได้รับไอเดียในแต่ละสถานการณ์มาจากที่ไหนคะ

ชินฮาอึน : ที่จริงแล้วในละครของพวกเรานั้น มีความคิดหัวโบราณเยอะมาก ถึงจะเป็นเช่นนั้น ฉันก็รู้สึกขอบคุณจริงๆที่ทุกคนใส่ใจกับความคิดหัวโบราณและบางจุดที่ไม่สำคัญ เอกลักษณ์ของละครโรแมนซ์มีบางสิ่งที่เป็นเหมือนบรรทัดฐานว่า ‘ต้องทำแบบนี้ ถึงจะเท่’ ที่จริงแล้วที่นั่นไม่สามารถเป็นอิสระอย่างสมบูรณ์แบบ แต่ว่าก็ไม่ได้ใส่ใจทำตามบทบาททางเพศพื้นฐานมากนัก ดังนั้น ในส่วนที่สามารถเป็นไปได้ ฉันก็พยายาม ‘ปรับเปลี่ยน’ ค่ะ และยังมีหลายส่วนที่เข้ากันกับสถานการณ์ในละครได้อย่างเป็นธรรมชาติ

ยกตัวอย่างเช่น ในตอนที่ 3 มีฉากที่ฮเยจินขับรถไปโซล ดูชิกนั่งอยู่เบาะข้างๆ แล้วมีคนขับรถด้วยความประมาท ฮเยจินเหยียบเบรคกะทันหัน พร้อมกับยืดแขนออกไปป้องกันดูชิกที่นั่งอยู่ข้างๆ แม้จะไม่ได้ตั้งใจ แต่ก็เป็นสถานการณ์ที่สามารถโชว์ให้เห็นฉากแบบใหม่ได้อย่างเป็นธรรมชาติ ในกรณีอุบัติเหตุแต่ละอย่างที่เกิดขึ้นกับฮเยจินก็เช่นกัน ฉันใส่ใจเป็นพิเศษไม่ให้ฮเยจินมีตัวตนเพื่อได้รับการปกป้องเท่านั้น

ตอนที่มีโรคจิตลวนลามที่คลินิกก็เช่นกัน ฮเยจินจะไม่เตะก่อนเหรอ กรณีที่เหมือนกับซีนนี้ ต้องขอบคุณผู้กำกับที่ยอดเยี่ยมด้วย ฉากฮเยจินตบแก้มที่เพิ่มเข้ามา เป็นสิ่งที่คิดในสถานที่ถ่ายทำค่ะ และในกรณีของฮเยจินกับดูชิก เรื่องฐานะทางเศรษฐกิจที่แตกต่างกัน ที่จริงแล้วไม่ใช่สิ่งที่เห็นได้บ่อยในละครโรแมนซ์ การคบกันคือการปะทะของสองโลกที่แตกต่าง แม้จะทำให้เกิดปัญหาได้ แต่ฉันก็ไม่อยากแก้ไขมัน ฉันอยากเขียนเรื่องราวเกี่ยวกับความรักที่ไม่ต้องคิดคำนวณ ผ่านตัวละครฮเยจินที่ฟุ่มเฟือยกับการซื้อของขวัญให้ตัวเอง และท่าทางของดูชิกที่ไม่ได้รู้สึกแย่กับฮเยจินที่เป็นแบบนั้น

—————

สัมภาษณ์นักเขียน(คำถามที่6) จากหนังสือบทละคร Hometown ChaChaCha

Q. เป็นละครที่มีรูปแบบครอบครัวหลากหลาย ครอบครัวที่หย่าร้าง (ฮวาจองกับยองกุก), ครอบครัวที่แต่งงานใหม่ (แทฮวากับมยองชิน), ครอบครัวที่มีพ่อแม่คนเดียว (ชุนแจ), ครอบครัวที่แต่งงานเพราะท้องก่อนแต่ง (ยุนกยองกับคึมชอล), นัมซุกที่สูญเสียลูก มีสามีก็เหมือนไม่มี, ไปจนถึงดูชิกที่สูญเสียพ่อแม่ หลังจากจัดประเภทครอบครัวที่หลากหลายแล้ว ถึงสร้างตัวละครที่เหมาะกับแต่ละครอบครัวใช่ไหมคะ, มีเรื่องใดบ้างที่ต้องการสื่อให้ผู้ชมเห็นคะ?

ชินฮาอึน : ตั้งแต่ตอนแรก ในระหว่างที่กำลังสร้างตัวละครขึ้นมา รูปแบบครอบครัวก็ถูกสร้างขึ้นตามมาเองค่ะ บรรดาตัวละครในละครของเรานั้นไม่สมบูรณ์แบบ มีทั้งส่วนที่ขาดแคลน และมีข้อเสีย ฉันคิดว่า เรื่องราวของตัวละครเหล่านั้น ‘ครอบครัว’ คือผลกระทบที่ยิ่งใหญ่ค่ะ บนโลกนี้ไม่มีใครที่ไม่มีครอบครัว แม้ปัจจุบันจะสูญเสียไปแล้ว หรือตัดความสัมพันธ์ไปแล้ว แต่ในช่วงเวลาหนึ่ง ทุกคนเคยมีครอบครัวค่ะ ไม่ว่าครอบครัวจะเป็นแบบไหน ก็ยังคงมีร่องรอยเหลืออยู่ในการใช้ชีวิตของมนุษย์ ฉันตั้งใจจะเขียนเรื่องราวการใช้ชีวิตร่วมกันภายในชุมชนที่ชื่อว่า ‘กงจิน’ ของผู้คนที่มีร่องรอยเหล่านั้นแตกต่างกัน

ในส่วนนี้ จะเห็นภาพลักษณ์หลากหลายของแต่ละครอบครัว, ฉันคิดว่าคงจะดีถ้าสะท้อน ‘การรับรู้ที่เปลี่ยนไป’ และหลุดจากอุดมคติจากในครอบครัวที่เผชิญอยู่ กัมรีเป็นครอบครัวต่างสายเลือดสำหรับดูชิกที่เหลืออยู่คนเดียว, ฮเยจินเป็นลูกสาวของครอบครัวที่แต่งงานใหม่ และมีแม่ใหม่ตอนสมัยมหาวิทยาลัย แน่นอนว่า แม่ใหม่ก็เป็นคนที่ดีมาก ฮวาจองกับยองกุกที่ถึงแม้จะหย่ากัน แต่ก็มารวมตัวกันจัดปาร์ตี้ฉลองวันเกิดของอีจุน เป็นต้น เป็นความทุ่มเทในบทบาทของพ่อแม่ ฉันหวังว่าจะสามารถถ่ายทอดผ่านละครด้วยมุมมองที่ไม่มีอคติเช่นนั้นค่ะ

—————

สัมภาษณ์นักเขียน(คำถามที่7) จากหนังสือบทละคร Hometown ChaChaCha

Q. ประทับใจบรรดาหนังสือที่โผล่มาในละครมาก มีคำพูดมากมายที่เข้ากับบุคลิกของตัวละคร โดยเฉพาะในกรณีของหนังสือ ‘Walden’ ถึงขนาดมีทฤษฎีโลกคู่ขนานของดูชิกกับเฮนรี่ เดวิด ธอโร ในหมู่ของแฟนคลับ และคำพูดที่โด่งดังของเขาก็ปรากฎอยู่บนหน้าวัตถุประสงค์ในหนังสือ Hometown Cha-Cha-Cha อยากฟังคำอธิบายของคุณนักเขียนเกี่ยวกับเรื่องนี้ค่ะ

ชินฮาอึน : ดูชิกไม่ใช่ตัวละครที่เปิดเผยข้างในจิตใจของตัวเองอย่างที่กล่าวไปก่อนหน้านี้ ไม่สามารถเล่าทุกรายละเอียดให้กับเพื่อนฟังได้ อีกทั้งไม่ได้เลี้ยงสิ่งมีชีวิต จึงไม่สามารถสัมผัสหมาหรือกระถางต้นไม้พร้อมกับพูดคุยคนเดียวได้ แต่ว่าในขณะเดียวกันเรื่องราวก็หนักหนาและมืดมน เพราะมีวิธีไม่มากนักที่จะถ่ายทอดความรู้สึกของตัวละครที่ยากและซับซ้อนเช่นนี้ จึงต้องเลือกใช้วิธีทางอ้อมค่ะ ดูชิก

สามารถเป็นตัวละครที่อ่าน ‘หนังสือ’ เยอะๆได้

ในตอนที่ 1-2 ของละคร จะเน้นการปรับตัวของฮเยจินที่มาจากโซล แล้วลงมาอยู่ที่กงจิน ผู้ชมทุกท่านก็จะได้เห็นละครตามมุมมองของฮเยจิน ในระหว่างนั้น ฉันคิดว่าดีกว่าที่จะให้ดูชิกถูกมองว่าเป็น ‘คนแปลกๆและไม่คุ้นเคย’ ด้วยเหตุนี้ ข้อมูลและความสงสัยเกี่ยวกับดูชิกที่เคยเรียนมหาวิทยาลัยโซล หรือมีเรื่องราวลึกลับอยู่ 5 ปีนั้น จึงปรากฏขึ้นในตอนที่ 5

เพื่อที่จะเสริมเรื่องราวในส่วนนี้ ฉันจึงหยิบยืมหนังสือ ‘Walden’ ให้เป็นหนังสือที่ดูชิกอ่าน แม้จะเป็นเชิงเปรียบเทียบ แต่ก็อยากนำมาใช้แสดงถึงตัวละครดูชิก ฉันคิดว่าค่านิยมของเฮนรี่ เดวิด ธอโร ที่ละทิ้งสังคมเมือง แล้วเข้าไปใช้ชีวิตอยู่ในป่า โดยสร้างกระท่อมอยู่แถวริมทะเลสาบวอลเดนนั้น เหมาะกับตัวดูชิกในปัจจุบัน แม้จะไม่ใช่ทฤษฎีคู่ขนาน แต่ก็รู้ว่า เฮนรี่ เดวิด ธอโร ออกจากฮาร์วาร์ด ฉันคิดอยู่คนเดียวว่ามันคงน่าสนใจถ้าสิ่งนั้นกลายเป็นเบาะแสเปรียบเทียบกับตัวตนของดูชิก

คำพูดของเฮนรี่ เดวิด ธอโร ที่กล่าวว่า ‘นอกจากการรักให้มากกว่าเดิมแล้ว ก็ไม่มียารักษาความรักแบบอื่นอีก’ เดิมทีเป็นประโยคที่เขียนไว้ในตอนท้ายเรื่องย่อ พร้อมกับมีคำอธิบายเสริมไว้ที่ส่วนท้ายการแนะนำเนื้อเรื่องว่า ‘ทั้งสองคนที่ก้าวผ่านความเจ็บปวดในอดีต จะสามารถได้รับการปลอบประโลมที่ชื่อว่า ความรัก ได้หรือเปล่านะ? หวังว่าพวกเขาจะก้าวออกไปหาความสุขด้วยกัน เหมือนกับชื่อ ‘กงจิน’’ พอได้เรียบเรียงบทละครใหม่ ก็ย้ายประโยคนั้นไปอยู่ที่หน้าวัตถุประสงค์ เพราะคิดว่าเป็นข้อความที่สื่อถึงละครของเราได้เป็นอย่างดี

ความรักที่พูดถึงในเรื่องนี้ ไม่ได้หมายถึงเพียงแค่ความรักแบบคู่รักเท่านั้น แต่มีทั้งความรักที่เกี่ยวกับครอบครัว ความรักที่เกี่ยวกับเพื่อน และความรักระหว่างเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน แม้จะได้รับบาดแผลหรือมีประสบการณ์สูญเสียจากความรัก แต่ก็อยากเล่าเรื่องราวที่ท้ายที่สุด การรักษาบาดแผลเหล่านั้นก็มาจากความรัก ข้อความเหล่านี้ มีอยู่ในหนังสือ ‘What Men Live By’ ของตอลสตอย ที่ดูชิกเสียบรูปภาพครอบครัวของจองอูไว้ด้วยเช่นกัน

สารภาพกันมาใครซื้อวอลเดนตามหัวหน้าฮงแล้วยังอ่านไม่จบบ้างงงง

แนะนำไปฟัง podcast ของTHE STANDARD ได้นะคะ >>https://youtu.be/q9mpgk4vgp0

ส่วนหนังสือ What Men Live By ของ ตอลสตอยมีแปลไทยชื่อ มนุษย์อยู่ได้ด้วยอะไร ยังสามารถพอหาซื้อได้ค่ะ

—————

สัมภาษณ์นักเขียน(คำถามที่8) จากหนังสือบทละคร Hometown ChaChaCha

Q. การที่วาดภาพ ‘ชาวกงจิน’ ออกมาได้เห็นภาพชัดเจน ดูเหมือนจะเป็นเพราะ ‘วิธีพูด’ ที่เต็มไปด้วยเอกลักษณ์ของแต่ละตัวละคร อยากทราบว่าจัดการเรื่องวิธีพูดของตัวละครอย่างไร มีตัวละครที่นำมาเทียบเคียงเพื่อสิ่งนี้ไหม และเรียนรู้สำเนียงท้องถิ่นของคุณยายทั้งสามคนอย่างไรก่อนที่จะเขียนบทละคร

ชินฮาอึน : ในละครของเรานั้นมีตัวละครปรากฏออกมาเยอะพอสมควร ฉันร่างตัวละครทุกตัวออกมา และคิดว่าจะใส่เข้าไปในเรื่อง แต่ว่าตอนที่เขียนบทครั้งแรกนั้น วิธีพูดของหลายตัวละครจะคล้ายๆกัน เลยคิดว่าไม่น่าจะเวิร์ค ฉันเพียงแค่ทำให้สมเหตุสมผล แต่พลาดวิธีที่จะทำออกมาให้เหมือนตัวละครมีชีวิตจริงๆ สุดท้ายก็ต้องมาดูใหม่ตั้งแต่ต้นอีกครั้ง ใส่นิสัยลงไปในวิธีการพูดของตัวละครทั้งหมด, ถ้าไม่เพียงพอ ก็จะเพิ่มท่าทางที่ตัวละครมักจะทำบ่อยๆ ยกตัวอย่างเช่น ฮวาจอง ก็จะมีทั้งการพูดตรงๆและมีความอบอุ่นปะปนกันอยู่ในวิธีการพูด เวลาที่นัมซุกตื่นตระหนกก็จะอุทานว่า ‘ออมอยารา (อุ๊ยตาย)’ และเพิ่มนิสัยชอบเผลอตีคนอื่นไปด้วย สำหรับชุนแจนั้น ฉันอยากให้ฟีลเหมือนคนซื่อบื้อของลูกสาวที่อ่อนไหวง่าย, ยองกุกที่ขี้ขลาดและช่วยเหลือสาวน้อยน่ารัก แน่นอนว่าสิ่งที่สำคัญที่สุด คือการแสดงของเหล่านักแสดง จากการวิเคราะห์ของเหล่านักแสดงที่เพิ่มเติมเข้าไป ทำให้สร้างตัวละครที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวาได้อย่างสมบูรณ์แบบ

ที่จริงแล้ว ไม่มีสำเนียงท้องถิ่นอันไหนที่ฉันใช้ได้อย่างชำนาญ ฉันคิดว่าเป็นจุดอ่อนที่ใหญ่มากในฐานะนักเขียน แต่ถ้าอยากจะรักษาความเป็นท้องถิ่นชนบทของ ‘กงจิน’ จำเป็นต้องมีการใช้ถ้อยคำแบบใหม่ อย่างไรก็ตาม ถ้าต้องเรียนรู้แล้วเขียนออกมา ฉันคิดว่าควรใช้สำเนียงที่ไม่ได้ใช้บ่อยๆในละครเกาหลี ในจังหวังคังวอนจะมีสำเนียงคังนึงอยู่ สำเนียงในภูมิภาคนั้นโดดเด่น คำพูดและโทนเสียงก็น่าสนใจ แม้พวกผู้ใหญ่จะใช้สำเนียงนี้ แต่พวกเด็กๆไม่ค่อยใช้เท่าไหร่ ในส่วนนี้ฉันก็นำมาปรับใช้ด้วย เพราะฉันคิดว่าดูไม่สมเหตุสมผลที่จะเติมเต็มบทพูดด้วยสำเนียงท้องถิ่นตลอด 70 นาที

เพราะฉะนั้น คุณยายกัมรีที่เป็นคนท้องถิ่น ก็จะใช้เพียงสำเนียงท้องถิ่นในการพูดเท่านั้น ตั้งแต่ตอนนั้นฉันก็ตั้งใจศึกษาโดยดูรายการในจังหวัดคังวอน หรือไม่ก็ดูคลิปที่มีบทสนทนาเป็นสำเนียงคังนึง ฉันมารู้ทีหลังว่ามีบางส่วนที่ฉันใช้ผิดด้วย โดยส่วนตัวแล้วก็รู้สึกเขินและเสียดายมากค่ะ แต่ว่า ในยุคสมัยที่สำเนียงท้องถิ่นเริ่มสูญหายไป ฉันจะดีใจมากถ้าทุกท่านช่วยจดจำพวกคำท้องถิ่น เช่น ‘แครัก (ภาษาถิ่นคังนึง แปลว่า มากๆ)’ ที่ปรากฎอยู่ในละครหลายครั้ง

———

สัมภาษณ์นักเขียนชินฮาอึน (คำถามที่9) จากหนังสือบทละคร Hometown ChaChaCha

Q. ด้วยความที่ละครโด่งดังมาก จึงมีการคาดเดาเกี่ยวกับตอนจบหลายแบบ แต่การตายของคุณยายกัมรี เป็นสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิด ในฐานะนักเขียน คงไม่ใช่เรื่องง่ายที่ตัดสินใจเขียน ‘การตายของคุณยายกัมรี’ แต่ว่า เหตุผลที่เขียนแบบนี้คืออะไร และการตายของคุณยายกัมรีต้องการสื่อความหมายเรื่องใดในละครคะ?

ชินฮาอึน : การตายของคุณยายกัมรี เป็นส่วนที่แพลนเอาไว้ตั้งแต่เริ่มต้น แน่นอนฉันรู้ดีว่า มีหลายท่านที่หวังว่าจะให้เป็นตอนจบแบบแฮปปี้เอ็นดิ้งโดยสมบูรณ์ ถึงขนาดที่ผู้กำกับเพลงบังคับ(?)ว่า ถ้าถึงฉากการตายของคุณยายกัมรี จะเปิดเพลง <Romantic Sunday> ในซีนนั้น ใช่ค่ะ ที่จริงแล้ว เป็นสิ่งที่กดดันมากที่จะใส่เรื่องราวน่าเศร้าในตอนสุดท้ายที่ควรจะมีความสุข แต่ว่าก็ตัดสินใจทำตามแผนการเดิมที่คิดไว้ตั้งแต่แรก เพราะการตายของคุณยายกัมรีมีความหมายมากที่จะทำให้เรื่องราวที่ฉันคิดไว้สำเร็จสมบูรณ์ค่ะ

คุณยายกัมรีเป็นผู้สูงอายุที่จิตใจโอบอ้อมอารี และอาวุโสที่สุดในกงจิน ท่านเป็นผู้อยู่ร่วมเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ ที่ทำให้สามารถรู้เรื่องราวนักต่อสู้เพื่ออิสรภาพ, ไต้ฝุ่นซาราห์ เป็นต้น เป็นคนรุ่นเก่าของเราที่อยู่อย่างอดทนมาเป็นเวลานาน เป็นครูที่เฝ้ามองลึกเข้าไปในตัวบุคคล และช่วยชี้แนะเส้นทางที่ควรจะเดินไป อีกทั้งยังเป็นเหมือนพ่อแม่ให้กับดูชิก แต่ว่า สุดท้ายก็เป็นคนที่จะต้องแยกจากไปในสักวันหนึ่งเช่นกัน อายุของท่านในละครนั้น 80 ปีแล้ว การตายของคุณยายกัมรีไม่ใช่ความทุกข์ทรมานหรือความเจ็บปวด แต่บรรยายว่าเป็น ‘การปิกนิก’ ที่งดงามและสงบสุขหลังจากหลับไป เป็นการตายอย่างสุขภาพดีและเป็นธรรมชาติ ฉันคิดว่าชีวิตของท่านมีความสุขมากเพียงพอแล้ว

ฉันอยากให้สัมผัสได้ว่า การตายไม่ใช่เรื่องใหญ่โตและหนักหนามากมายขนาดนั้น และอยากมอบโอกาสให้ดูชิกได้เศร้าเสียใจและไว้ทุกข์อย่างที่ควรจะเป็น ดูชิกนั้น แม้จะสูญเสียคนที่สำคัญไป แต่ก็ไม่สามารถร้องไห้ออกมาเสียงดังได้เลยสักครั้ง ฉันหวังว่า ดูชิกที่เป็นเช่นนั้น จะได้สลัดบาดแผลที่ผ่านมาทิ้งออกไปผ่านการตายในครั้งนี้ และได้เยียวยาตัวเองอย่างแท้จริง การตายเป็นเพียงเรื่องธรรมชาติ เพราะฉะนั้น ไม่ใช่ความผิดของเขา จะร้องไห้ราวกับจะขาดใจก็ไม่เป็นไร ยังมีฮเยจินที่คอยช่วยปลอบใจอยู่ข้างๆ…ดูชิกในตอนนี้ แม้จะเผชิญความสูญเสีย แต่ก็เตรียมพร้อมที่จะใช้ชีวิตต่อไป

คุณยายกัมรีได้จากไป แต่ในที่แห่งนั้นก็มีต้นอ่อนแตกหน่อ ใบไม้เติบโต และดอกไม้บานอีกครั้ง สิ่งนั้นคือบทบาทของดูชิก ฮเยจิน และคนที่ยังคงอยู่ที่กงจิน ใช้ชีวิตต่อไปและสืบทอดความอบอุ่นและสิ่งที่ดีเหล่านั้น ชีวิตยังคงดำเนินต่อไปเช่นนั้น

การจากไปของคุณยายกัมรีมีความหมายที่ลึกซึ้งมากค่ะ อยากดูอีกครั้งเลย

*ในต้นฉบับใช้แค่คำว่า “กัมรี” แต่เราขอเติมเป็น “คุณยายกัมรี” เพื่อให้อ่านแล้วเข้ากับบทสัมภาษณ์มากขึ้นนะคะ

ที่มาจากหนังสือบทละคร Hometown ChaChaCha ของนักเขียน ชินฮาอึน

Translation : My Kimseonho Thailand

#hometownchachacha

#คิมซอนโฮ

#kimseonho

#김선호