คิมซอนโฮจริงๆ ที่ไม่ใช่ฮันจีพยอง
คิมซอนโฮมาพบกับทุกท่านด้วยหัวใจที่เรียนรู้อยู่เสมอ
ขอแสดงความยินดีที่ได้รับรางวัล Emotive Award ในงาน AAA (Asia Artist Awards) เมื่อวานค่ะ (ทำสายตาเลิ่กลั่กแล้วหัวเราะ) 555555 (แล้วตะโกนไปรอบทิศว่า) ขอบคุณครับ!
รับรู้ได้ถึงชื่อเสียงช่วงนี้ไหมคะ? จริงๆแล้วตอนแรก ผมไม่ได้ไปที่ไหนนอกจากสถานที่ถ่ายทำเลยไม่รู้ครับ เป็นเพราะนักแสดงนำของละคร <STARTUP> เลยทำให้จำนวนคนติดตาม SNS เพิ่มขึ้น พอช่วงที่ละครจบ คนรอบตัวก็มาเล่าให้ฟังเยอะ ผมกำลังใช้ชีวิตอย่างมีความสุข และรู้สึกขอบคุณมากๆครับ
ความรู้สึกที่ได้ถ่ายขึ้นปกนิตยสารครั้งแรกเป็นอย่างไรบ้างคะ? เป็นช่วงเวลาที่รู้สึกขอบคุณ ผมได้ขึ้นปกนิตยสารแล้ว ขอบคุณมากครับ (หัวเราะ)
ตอนที่ได้รับข้อเสนอครั้งแรก รู้สึกอย่างไรคะ? รู้สึกดีครับ แต่อีกด้านก็กังวลด้วย ถ้าโพสท่าได้ไม่ดี จะทำอย่างไรดี? ถ้าดูเกร็งๆจะทำอย่างไรดี? ไม่ควรจะสร้างปัญหา แต่ก็ตื่นเต้นมากๆครับ
คุณมุนเซยุนได้ขอพรกับพระอาทิตย์ขึ้นในรายการ <2 Days & 1 Night> ว่า “ช่วยอย่าให้ซอนโฮของเราเป็นท็อปสตาร์เลย” (หัวเราะ) ถ้าเกิดรู้ว่าได้ขึ้นปกนิตยสาร เขาจะรู้สึกเสียใจหรือเปล่าคะ? เอ่ ไม่หรอกครับ จริงๆแล้วพี่เขาให้กำลังใจเยอะมาก ก่อนหน้านี้ได้อันดับ 1 ในการจัดอันดับแบรนด์ บรรดาเมมเบอร์ <2 Days & 1 Night> พี่เขามาแสดงความยินดีก่อนคนแรกตั้งแต่เช้าเลยครับ
ละคร <STARTUP> จบแล้ว ช่วงนี้ใช้ชีวิตอย่างไรบ้างคะ? ตั้งแต่สายๆจนถึงช่วงบ่าย จะฝึกซ้อมละครเวที <ICE> ที่จะทำการแสดงเดือนมกราคม ตอนช่วงเย็นจะเดินเล่นเป็นบางครั้ง และก็ใช้เวลาอยู่กับคุณพ่อคุณแม่ครับ
โอ้ คุณเคยบอกว่าชอบการเดินเล่นมาก ใช่ครับ เมื่อก่อนชอบเดินเล่นแถวๆสวนสาธารณะ Marronnier แต่ช่วงนี้ เพราะสถานการณ์ในประเทศ เลยไปเดินเล่นไกลๆไม่ได้ ก็เอ็นจอยกับการเดินไปมาร์ทจากอพาร์ทเม้นท์แทนครับ
ตอนที่เดิน คิดอะไรอยู่คะ? เวลาที่มีเรื่องกังวล พอเดินแล้วช่วยให้มองเห็นอะไรชัดขึ้นครับ ผมจะจมอยู่กับความคิดของตัวเอง พร้อมกับเดินมองพื้นดินไปด้วย รู้สึกได้ว่าน้ำหนักของเรื่องที่คิดมันเบาลง ‘ใช่แล้ว นี่ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร เดี๋ยวมันก็ผ่านไป’ กลายเป็นความคิดที่ยอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้น เป้าหมายก็ชัดเจนขึ้นด้วยครับ จริงๆแล้วน้ำหนักของเรื่องที่คิด เป็นสิ่งที่ต้องจัดการด้วยตัวเองใช่ไหมล่ะครับ บางครั้งผมก็เดินโดยไม่ได้คิดอะไรเลย พร้อมกับโยนความคิดที่กดทับผมอยู่ทิ้งไป ถ้าเกิดว่าไม่มีเวลาเดิน คงจะใช้ชีวิตนักแสดงอย่างสุขภาพดีไม่ได้แน่ๆครับ
ช่วงนี้ได้รับความรักอย่างอบอุ่นในฐานะ ฮันจีพยอง จากละคร <STARTUP> ได้รับความนิยมจนได้ฉายาว่า ‘พระรองที่ทำให้คนตกหลุมรัก’ ได้คาดคิดไว้ไหมคะ(ว่าจะเป็นแบบนี้)? ไม่เคยคาดคิดเลยจริงๆครับ ไม่เคยคิดว่าตัวละครนี้จะต้องสุดยอดมาก ผมแสดงตามบทบาทและสิ่งที่บรรยายไว้เท่านั้น ผมอ่านถึงแค่ตอนที่ 5 ก็ต้องเข้าไปแสดงแล้ว แต่บทละครและคำบรรยายดีมากๆครับ แม้ว่าในละคร ฮันจีพยอง จะไม่ใช่คนไม่ดี เขาเป็นที่ปรึกษาคอยช่วยเหลือโดซาน (นัมจูฮยอก) กับดัลมี (ซูจี) แต่ในอีกด้านหนึ่ง เขาก็เป็นอุปสรรคความรักของทั้งคู่ ผมกับผู้กำกับก็กังวลกันว่าจะโดนด่าหนักหรือเปล่า ผมไม่รู้เลยว่าจะชื่นชอบกันมากขนาดนี้ ก็เลยงงงวยและพูดไม่ออกครับ
ผู้กำกับละคร <STARTUP> โอชุงฮวาน ได้กล่าวถึงคิมซอนโฮว่า “เขาแสดงได้ชัดเจน แต่ก็มีลักษณะที่ดูซับซ้อนด้วยเช่นกัน ทั้งแข็งแกร่งและดูอ่อนโยน” อาจเป็นเพราะว่ากังวลเกี่ยวกับผลงานมาก เลยพูดแบบนั้นครับ ปกติแล้ว ผมไม่ได้คิดอะไรที่ชัดเจน และเวลาที่จะสวมบทบาท ก็ค่อนข้างคิดหนักมากครับ เราแสดงได้ดีแล้วใช่ไหมนะ? ทำได้ดีอยู่หรือเปล่านะ? จะมีความคิดแบบนี้เข้ามาอยู่ตลอดครับ เพราะงั้นก็เลยบอกว่าดูซับซ้อนหรือเปล่านะ? (หัวเราะ) โล่งใจที่เวลาแสดงแล้วมีท่าทางที่แข็งแกร่งด้วยครับ
ไปเอาความสงสัยว่า ‘เราแสดงได้ดีแล้วใช่ไหมนะ’ มาจากที่ไหนคะ? เวลาที่แสดง จะมีความคิดแบบนี้เสมอว่า ‘เมื่อกี้เราเป็นจีพยองจริงๆหรือเปล่านะ? อันนี้มันเบาเกินไปสำหรับตัวละครจีพยองหรือเปล่า?’ การแสดงให้ใครสักคนรู้สึกสนุกก็เป็นสิ่งที่ดี แต่แค่เพราะอยากตลก อยากโชว์ตัวเอง ผมก็อาจจะพังทิศทางของละครได้ ตัวละครจีพยองเป็นบทที่รับภาระเพื่อให้สถานการณ์ราบรื่น ถ้าเอาแต่เน้นตลก และสูญเสียตัวตน ก็อาจจะสร้างความเสียหายให้นักแสดงท่านอื่น และผู้ชมก็จะไม่รู้สึกอินครับ ดังนั้น เลยต้องใส่ใจเป็นอย่างมากเพื่อให้ผู้ชมอินกับละครได้อย่างเป็นธรรมชาติ แต่ว่าพอถ่ายออกมาแล้ว ก็ยังมีส่วนที่บกพร่องอยู่บ้าง เลยรู้สึกเสียดายครับ
เวลาที่อ่านบท แล้วมีส่วนที่ไม่เข้าใจ จะแก้ไขอย่างไรคะ? อันนั้นยากมากจริงๆครับ เพราะไม่สามารถข้ามไปอย่างคลุมเครือโดยที่ยังไม่รู้ไม่ได้ เวลาที่เป็นแบบนั้นก็จะขอความช่วยเหลือจากใครสักคน ไม่ว่าจะเป็นผู้กำกับ หรือนักแสดงที่แสดงร่วมกัน ตอนนี้จู่ๆผมต้องทำแบบนี้ตรงนี้ถูกต้องไหม? ในระหว่างที่แลกเปลี่ยนความคิด ก็จะเข้าใจและจำลองสถานการณณ์ออกมาได้ครับ
ตัวละคร โอจินกยู ที่เป็นกลุ่มธุรกิจใหญ่และสร้างปัญหาในละคร <Strongest Deliveryman> ก็ควรได้รับความเกลียดชังพอๆกับ ฮันจีพยอง ในละคร <STARTUP> แต่กลายเป็นว่าได้รับความรักอย่างไม่น่าเชื่อ นั่นคือพลังของนักแสดงคิมซอนโฮหรือเปล่าคะ? ขอบคุณที่คิดแบบนั้นนะครับ (หัวเราะ) จริงๆแล้ว โอจินกยู ใน <Strongest Deliveryman> ไม่ได้มีบทบาทที่จะทำให้ได้รับความเกลียดชังขนาดนั้น ถ้างั้นทำไมถึงได้รับความเกลียดแบบนั้นนะ? หรือว่าเพราะโตมาแบบนั้น แล้วไม่รู้วิธีการรับความรักนะ? ผมเริ่มวิเคราะห์จากตรงนั้นครับ ผมพูดคุยกับนักเขียน <Strongest Deliveryman> หลังจากนั้นด้วย ช่วงแรกทุกคนอาจจะไม่เข้าใจว่าทำไมผมถึงแสดงแบบนั้น ได้รับบทบาทกลุ่มธุรกิจใหญ่ ทำไมถึงแสดงเหมือนคนบกพร่องและไม่เพียงพอแบบนี้ พอประมาณตอนที่ 4 หรือเปล่านะ ก็จะรู้สึกได้ว่า “อ่า นักแสดงคนนี้วางแผนไว้หมดแล้วสินะ” (หัวเราะ) ถ้าผมไม่เข้าใจจุดบกพร่องของตัวละคร ผมก็จะสร้างมันขึ้นมาครับ
ตอนที่สร้างตัวละคร จะเริ่มสร้างจากโลกที่คุณรู้จักใช่ไหม? ผมมักจะใช้สีหน้าท่าทางแสดงบ่อยๆ ก็จะมาจากประสบการณ์จริง สิ่งที่เคยเห็น หรือประสบการณ์ทางอ้อม ถ้าเป็นโลกที่ผมไม่รู้จัก ก็จะสร้างด้วยตัวเองตามความเหมาะสม และถ้าผมยังไม่รู้จริงๆว่า ‘สถานการณ์นี้เป็นแบบไหน?’ ผมก็จะเอาตัวเองเข้าไปอยู่ในสถานการณ์ที่ใกล้เคียงที่สุดอย่างรวดเร็ว แม้จะเป็นเรื่องที่รู้สึกเขินๆ แต่เพราะเคยมีซีนที่ผมประหม่าตอนเริ่มเล่นละครช่วงแรกๆ แล้วทำได้แค่อ่านตามบทที่เขียนมาเท่านั้น พอพูดออกไปแล้ว ไม่แตกต่างจากการอ่านหนังสือภาษาเลยจริงๆ ก็เลยรู้ตัวตอนนั้นครับว่าจะแสดงแบบนี้ไม่ได้ ดังนั้น แม้ว่าจะไม่ตรงสถานการณ์ซะทีเดียว แม้ว่าจะเข้าใจผิด แต่ผมก็ตั้งใจว่า จะเข้าไปในสถานการณ์ที่ผมรู้จักและใส่ความรู้สึกลงไปในคำพูด พอลองแสดงความรู้สึกภายในของผม และใช้ประสบการณ์ที่สะสมมา ตัวแปรอื่นๆก็จะค่อยๆลดลงครับ
ก่อนหน้านี้ได้แสดงละคร <Two Cops> ของช่อง MBC ไปพร้อมกับเข้าร่วมแสดงละครเวที <Kiss of the Spider Woman> ในช่วงเวลาเดียวกัน อีกทั้งยังเล่นละคร <Catch the Ghost> ของช่อง tvN แล้วก็ไปเข้าร่วมละครเวที <Memory in Dream> ทันทีเลย ตั้งใจจะทำงานละครโทรทัศน์ และละครเวทีควบคู่กันไปเหรอคะ? พอลองแสดงละคร <Two Cops> กับ <Kiss of the Spider Woman> ในช่วงเดียวกัน ก็รู้สึกว่าไม่ควรทำแบบนั้นอีกครับ (หัวเราะ) ตอนนั้นอยากโชว์ให้เห็นว่าทำได้ การถ่ายทำละครกับการแสดงบนเวที มันไม่สามารถเชื่อมโยงกันได้จริงๆ ส่วน <Memory in Dream> เป็นช่วงที่ละคร <Catch the Ghost> จบแล้วครับ
ครั้งนี้ก็เช่นกัน ทันทีที่ละคร <STARTUP> จบ ก็เข้าไปเตรียมตัวแสดงละครเวที <ICE> ต่อ ผมอยากแสดงละครเวที และมีความปรารถนาที่จะแสดงละครเวทีอยู่เสมอครับ เวลาที่แสดงละครเวที ผมได้เรียนรู้อะไรมากมาย และได้เช็คการแสดงของตัวเองครับ ผู้กำกับแต่ละคนก็จะมีข้อดีแตกต่างกัน ทำให้ได้เรียนรู้เป็นอย่างดี และสนุกมากที่ได้นำไปใช้ที่อื่น (หัวเราะ) อีกทั้งผมชอบดูผลงานของผู้กำกับจางจินมาก ทั้ง <Secret of Flower> และ <Taxi Driver> พอมีโอกาส ก็อยากลองร่วมงานกันสักครั้งครับ
ละครเวที <ICE> ครั้งนี้ เป็นผลงานแบบไหนคะ? เป็นละครที่มีตัวเอกเป็นนักสืบ 2 คน ที่ตรงข้ามกันสุดขั้ว และมีตัวละครในจินตนาการเป็นเด็กหนุ่มที่ตกเป็นผู้ต้องสงสัย ในระหว่างที่นักสืบไต่สวนเด็กหนุ่ม จะเป็นเพียงการพูดคนเดียว 3-4 ประโยค เป็นการสร้างฝ่ายตรงข้ามแบบที่ไม่มีตัวตนอยู่ ตอนที่เห็นบทละครครั้งแรก ผมคิดว่ามันแปลกใหม่มากและน่าจะสนุกครับ
ละคร <Kiss of the Spider Woman> ที่เคยแสดงก่อนหน้านี้ก็เป็นแบบนั้น ละคร <True West> ก็ใกล้เคียงกับละครเวทีที่แสดงเพียง 2 คน อะไรคือเสน่ห์ที่มีแค่ในละครเวทีที่แสดงแค่ 2 คนคะ? ละครโทรทัศน์หรือภาพยนตร์จะตัดเป็นซีนๆ แต่ละครเวทีจะแบ่งเป็นแค่เข้าซีนหรือออกจากซีน ละครเวทีที่แสดงแค่ 2 คน หนึ่งซีนก็เกือบจะเท่ากับละครหนึ่งเรื่อง มันเป็นการแสดงที่ยาวมาก และต้องใช้สมาธิสุดๆ ผมไม่ใช่นักแสดงที่เก่งในเรื่องมีสมาธิเลย เพราะฉะนั้นละครเวทีแบบแสดง 2 คน เป็นสิ่งที่ช่วยชีวิตการแสดงของผมได้มาก ช่วยฝึกฝนทั้งสมาธิและพละกำลัง ไม่ใช่แค่พละกำลังทางกายภาพเท่านั้น แต่ต้องใช้พลังทางจิตใจที่จะช่วยให้มีสมาธิด้วย ผมรับรู้ได้เป็นอย่างดีถึงเสน่ห์และความยากของละครเวทีที่แสดง 2 คน และรู้ว่าจะสามารถพัฒนา และได้รับประโยชน์มากมายจากที่นี่ ดังนั้น ถึงแม้ว่าจะกลัว แต่ก็ไม่คิดจะหนีครับ
เผชิญหน้ากับความกลัวเหรอคะ? ครับ ถ้าไม่ทำแบบนั้นก็คงไม่พัฒนาครับ ในอีกมุม ผมเป็นคนเฉื่อยๆ ถ้าเริ่มหนีสักครั้ง ก็จะกลัวเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ผมตั้งใจจะไม่หนี โดยสั่งตัวเองว่า ‘ไม่น่า ลองดูก่อน’
ได้ยินมาตอนที่ฝึกทหาร นิสัยก็เปลี่ยนไปมาก เวลาอยู่กับเพื่อนก็จะร่าเริง แต่ถ้ายืนต่อหน้าผู้คน ในหัวผมจะขาวโพลนแล้วจะเริ่มคิดว่า ‘ตอนนี้ที่นี่คือที่ไหนนะ?’ พอคิดว่าเป็นสภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นเคย ก็จะพูดตะกุกตะกักด้วย แต่พอไปเป็นทหาร ความคิดและนิสัยก็เปลี่ยนไปมากครับ มีคนที่ลำบากและเฉื่อยชากว่าผมอยู่อีกเยอะ แต่พวกเขาก็พยายามเอาชนะมัน แล้วบอกว่า ‘ฉันไม่มีอะไรต้องเสียแล้ว ไม่เป็นไรหรอก’ เมื่อก่อนผมเป็นคนไม่ค่อยเข้าสังคมครับ
ตอนนี้เข้าสังคมเก่งแล้วใช่ไหมคะ? เป็นคนกึ่งๆเข้าสังคมได้ที่อยากจะเป็นคนเข้าสังคมเก่ง? อ่า เหมือนคุณลุงมากเลยแฮะ (หัวเราะเสียงดัง)
พอจะทราบไหมว่ามีการพูดคุยถึงนิสัยที่ชอบเรียนรู้เยอะมาก? เริ่มทัศนคติการใช้ชีวิตแบบนี้มาจากไหน? (เน้นย้ำ) ใช่ครับ ใช่ครับ ตั้งแต่ตอนเด็ก ผมจะคิดเยอะมากเวลาเห็นคนที่ปิดไม่รับฟังความเห็นของคนอื่น ตอนที่ดื่มกับรุ่นพี่ ก็มักจะคุยกันตลอดว่า “พออายุยิ่งเยอะ ยิ่งยาก ทั้งดื้อรั้นและยึดติดอยู่บ่อยๆ ไม่ควรเป็นคนแบบนั้น” ถ้างั้นผมควรจะทำอย่างไรดี? แล้วก็คิดว่า ควรจะมีความคิดอยากเรียนรู้ตลอดเวลาดีกว่า! พอคิดว่า ‘ถ้าได้เรียนรู้อะไรสักอย่างจากคนนี้ จะชอบคนนี้มากขึ้นไหม?’ ก็เลยชอบพูดบ่อยๆว่าอยากเรียนรู้จนติดเป็นนิสัย และกลายเป็นว่ามองเห็นข้อดีของผู้อื่นจริงๆครับ
เรียนรู้อะไรมาจากคนที่เพิ่งเจอช่วงนี้คะ? ค่อนข้างน่าอายนะแต่ว่า…(สายตาเลิ่กลั่ก และทำท่าเหมือนจะบอกความลับ) อันนี้จูฮยอกเองก็ไม่รู้ จูฮยอกโพสท่าได้เท่มากๆตอนช่วงนำเสนอผลงานการผลิตละคร <STARTUP> (คางของนัมจูฮยอกเปลี่ยนมุมไปทีละนิดเวลาที่โพส) ผมคิดว่าต้องเอาสิ่งนี้มาใช้บ้างสักวันหนึ่ง แล้วเมื่อกี้ก็เพิ่งได้ลองใช้ตอนถ่ายภาพไป (หัวเราะ) ผมได้เรียนรู้อะไรมากมาย ทั้งความคิดเกี่ยวกับการแสดงของจูฮยอก และท่าทางสดใสและมีสมาธิของซูจี ถ้าผมเรียนรู้แล้ว ผมจะพยายามนำไปปฏิบัติจริงครับ
เคยพูดว่านับถือคิมจงมิน เมมเบอร์รายการ <2 Days & 1 Night> ด้วยนี่คะ พี่จงมินไม่เคยกดคนอื่นให้ต่ำกว่าเขา ไม่ได้เป็นคนที่พูดคุยกับคนอื่นง่ายๆด้วย จริงๆเป็นคนที่พูดน้อยและก็เป็นคนมีความรู้มาก ผมเคยถามครั้งหนึ่ง “พี่ จริงๆรู้ แต่ไม่ได้พูดออกไปบ้างไหม?” พี่เขาก็ตอบว่า “อือ ฉันรู้ว่ามันไม่ดีถ้าจะพูดออกไป” เราพูดคุยกันอย่างจริงจัง เขาเป็นคนที่ยิ้มเก่ง และยอมรับความผิดพลาดของตัวเอง เป็นผู้ใหญ่ครับ ผมได้เรียนรู้มากมายจริงๆ
ในรายการวาไรตี้ นอกจากได้เรียนรู้แล้ว ปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้คนหลากหลายอาชีพ เช่น นักร้อง นักแสดงตลก เป็นอย่างไรบ้าง? ผมได้เรียนรู้มากมายจากความจริงใจของพวกเขา ‘ฉันเป็นแบบนี้ นายคิดว่าไง?’ เป็นเพราะพวกเขาเข้ามาหาอย่างจริงใจ ผมเลยปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมรายการวาไรตี้ที่เคอะเขินได้ คิดว่าถ้าเราแสดงความรู้สึกและพูดตรงไปตรงมาอย่างจริงใจ ฝ่ายตรงข้ามก็จะรู้สึกเข้าถึงผมได้ไม่ยาก ทุกคนมีมนุษยธรรมมาก และเต็มไปด้วยความรักครับ
การทดสอบทางจิตใจใน <2 Days & 1 Night> เป็นประเด็นร้อนแรงมาก อันนั้นคือก่อนฉายละคร <STARTUP> ใช่ไหมคะ? เป็นช่วงที่กำลังถ่ายทำละคร และก่อนที่ละครจะออนแอร์ครับ ตอนที่ฉายตอนแรก ผมไม่มีความมั่นใจเลยว่าทำได้ดีไหม เป็นช่วงที่ผมกังวลว่าละครจะสร้างผลเสียให้กับ <2 Days & 1 Night> หรือเปล่า ท่านที่ช่วยทดสอบทางจิตใจ พอเห็นรูปวาดของผมก็พูดว่า “มีเรื่องที่กังวลเยอะนะ แต่ก็กำลังทำได้ดีอยู่” คำพูดนั้นทำให้น้ำตาคลอครับ คำว่า กำลังทำได้ดีอยู่ น่าจะเป็นสิ่งที่ผมต้องการ รุ่นพี่ชาแทฮยอนดูรายการแล้วก็ติดต่อคุณนักเขียนโนจินยองของ <2 Days & 1 Night> และบอกว่า ผมเองก็เคยมีช่วงเวลาแบบนั้น แต่เพื่อนคนนั้น(ซอนโฮ)น่าจะกำลังเผชิญกับช่วงเวลาแบบนั้นอยู่ สิ่งนั้นจะช่วยในเรื่องการแสดง ดังนั้นความกังวลเหล่านี้จะผ่านไปได้ด้วยดี พอได้ยินคำพูดนั้น รู้สึกเหมือนจะตายเลยครับ (ตาแดง) หลังจากที่ออนแอร์ ผมดูความคิดเห็นจากผู้ชม แล้วก็ร้องไห้เงียบๆอยู่คนเดียว ขอบคุณมากๆ ขอบคุณ (นิ่งเงียบไปชั่วครู่) ผมไม่ได้รู้สึกเสียใจเลย ตอนนี้ก็น้ำตาคลออีกแล้ว
ตามที่จิตแพทย์กล่าว ตัวตนของคิมซอนโฮนั้นแข็งแกร่ง ไม่จำเป็นต้องกังวล ผมรู้สึกโล่งใจ และขอบคุณกับคำพูดนั้นครับ ใช่ครับ ต่อให้เกิดเรื่องอะไรขึ้น ก็สามารถก้าวผ่านมันไปได้ครับ
ดูเหมือนจะมีจิตใจที่แน่วแน่ ผมพยายามอยากมากที่จะเป็นแบบนั้นครับ โชคดีที่ตอนนี้เป็นช่วงอายุที่เหมาะสมสำหรับสื่อโทรทัศน์และรายการวาไรตี้ ถ้าผมเด็กกว่านี้ คงจะมีช่วงที่กดดัน เหนื่อย และสั่นไหวเยอะ ผมคิดว่าโชคดีที่ได้เจอคนดีๆ มีความคิดที่พอดี ในช่วงเวลาที่เหมาะสมครับ
เคยพูดในปี 2018 ช่วงละคร <100 Days My Prince> ของช่อง tvN ว่า กังวลมากเพราะเป็นละครที่ผลิตเสร็จก่อนออนแอร์ ทำให้ไม่สามารถตรวจเช็คได้ คุณอยากแสดงให้ตัวเองพอใจมากกว่าการประเมินจากผู้ชมเหรอคะ? มันเป็นผลกระทบอีกทางครับ ตอนที่แสดงละคร <STARTUP> ก็เหมือนกัน ระหว่างที่ดูนักแสดงท่านอื่นแสดง ตอนที่เห็นอะไรใหม่ๆ หรือสิ่งที่ผมทำไม่ได้ ก็จะคิดว่า เราจะทำได้ดีแบบนั้นไหมนะ? หรือไม่ก็ เราไม่ได้คิดมากเกินไปใช่ไหม? ไม่ได้ขี้เกียจเกินไปใช่ไหม? ประมาณนั้นครับ โดยเฉพาะเวลาที่ถ่ายละครแบบเสร็จก่อนออนแอร์ มักจะมีความคิดแบบนั้นเข้ามาบ่อยๆครับ ตอนช่วงละคร <100 Days My Prince> ผมแสดงเหมือนทำงานหนักเกินไป ตอนนั้นผมก็น่าจะขี้เกียจอยู่นิดหน่อยด้วย เวลาที่ดูในจอตอนที่แสดง ก็จะมีสิ่งที่อยากตรวจเช็ค จะเห็นได้ว่า เพราะขาดประสบการณ์ ท่าทางเลยเป็นแบบนี้สินะ พอย้อนกลับไปดูก็แก้ไขใหม่ได้ ผมน่าจะยังไม่ค่อยคุ้นเคยกับการถ่ายทำเสร็จก่อนออนแอร์ครับ
น่าจะเป็นเรื่องยากสำหรับนักแสดงที่ไม่มองว่าการแสดงคืองานใช่ไหม? ใช่ครับ แต่เพราะผมคิดว่าการแสดงไม่ใช่งาน อยากแสดงแบบสนุกๆ แน่นอนว่าก็เหนื่อยครับ ไม่มีงานไหนไม่เหนื่อย ในวันที่แสดงไม่ได้อย่างที่ตั้งใจ ผมก็จะดื่มเบียร์ หรือไม่ก็กาแฟสักแก้ว แล้วโยนความคิดทิ้งไป การคิดแบบนั้นจะทำให้รู้สึกว่าการแสดงไม่ใช่งาน แต่ผมก็มีความสุขมากจริงๆที่แสดงแล้วจบลงด้วยดีเหมือนการเข้าไปเล่นสนุกในผลงานสักเรื่อง ผมพยายามให้มีสิ่งใหม่ๆเสมอครับ เหมือนกับคำพูดที่ผมชอบพูดบ่อยๆว่า อยากเรียนรู้ ทุกสิ่งที่เรียน ก็จะได้รับผลสักอย่าง ถ้างั้นผมจะทำอย่างไรดี? ผมจะต้องเล่นอย่างไรไม่ให้มันเสีย? และอยากจะมอบสิ่งกระตุ้นใหม่ๆให้แก่นักแสดงที่แสดงด้วย ให้สมกับสิ่งที่ได้รับมา พอลองคิดแบบนี้ตลอด ทำให้คิดน้อยลงว่านี่คืองาน
ผลจากการเรียนรู้ ทำให้คิมซอนโฮดูเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องเรื่อยๆใช่ไหม? ใช่ครับ แม้ว่าคลื่นของการเปลี่ยนแปลงจะไม่ได้ใหญ่เหมือนเมื่อก่อน แต่ทัศนคติเกี่ยวกับการแสดง, ความมั่นใจในการแสดง ดูเหมือนจะเปลี่ยนแปลงทีละนิดอยู่ตลอดครับ ยกตัวอย่างเรื่องการเต้น ถ้าลองทำสิ่งที่ไม่ถนัดอยู่บ่อยๆ สักวันก็จะทำได้เอง การแสดงก็เช่นกัน แม้จะไม่รู้ พอไม่รู้ไปสักพัก ช่วงเวลาหนึ่งก็จะพัฒนาขึ้นมา แม้จะเสียใจที่ช่วงนี้ไม่มีการเปลี่ยนแปลงแบบนั้น แต่ว่าตอนที่รับบทตัวละครฮันจีพยอง ก็มีหลายเรื่องที่เปลี่ยนแปลงไปครับ ในตอนนั้นผมมีความคิดที่อยากจะเพิ่มภาพลักษณ์ใหม่ๆที่ยังไม่คุ้นเคยให้ได้ชมครับ คิดไว้เสมอและตั้งใจจะเปลี่ยนแปลงให้ได้ครับ
บรรณาธิการ: จอนฮีรัน ()
ถ่ายภาพ: คิมยองจุน
ทรงผม: อีฮเยยอง
เมคอัพ: อียอง
ออกแบบชุด: นัมจูฮี
ออกแบบฉาก: โกอึนซอน
ผู้ช่วย: ชเวโกอึน
ที่มา https://www.noblesse.com/home/news/magazine/detail.php?no=10571
ขอบคุณมากๆนะคะ 😊😊
ขอบคุณมากค่ะ🙏