ดูชิกของซอนโฮ Arena November 2021

ดูชิกของซอนโฮ

วันถัดมาหลังจากถ่ายทำ <Hometown Cha-Cha-Cha> เสร็จ เราก็ได้พบกับคิมซอนโฮที่โซล เพื่อถ่ายทอดความรู้สึกของนักแสดงที่แสดงบทบาทฮงดูชิก, บรรยากาศสถานที่ถ่ายทำ และทิวทัศน์ของโพฮังที่เป็นสถานที่ถ่ายทำ

ตอนนี้เรากำลังสัมภาษณ์กับคุณซอนโฮ หรือว่าสัมภาษณ์ฮงดูชิกอยู่คะ?

ทั้งสองคนก็คือ ผม คำตอบของผมก็น่าจะอยู่ตรงกลางระหว่างสองคนนี้นะครับ (หัวเราะ)

เมืองโพฮัง เป็นแบ็คกราวด์ละคร <Hometown Cha-Cha-Cha> ความประทับใจแรกต่อเมืองโพฮังคืออะไรคะ?

ความรู้สึกตอนแรกของผมเหมือนฮเยจินครับ สถานที่ถ่ายทำเป็นหมู่บ้านที่สงบ งดงาม และค่อนข้างเงียบเหงาครับ มีความเปล่าเปลี่ยวนิดหน่อยครับ ถ้าใช้ชีวิตอย่างวุ่นวายในเมืองที่เสียงดัง คงจะรู้สึกแบบนั้นได้ครับ แต่พอได้เป็นฮงดูชิก ได้เจอพวกรุ่นพี่หมู่บ้านกงจิน ความรู้สึกเปล่าเปลี่ยวก็หายไปครับ ตั้งแต่ตอนนั้นก็ได้ยินเสียงคลื่นทะเล รู้สึกเข้ากันได้มากขึ้นเหมือนกับเสียงเพลง และรู้สึกเหมือนมีบางอย่างเติมเต็มในตัวผมครับ

 

เป็นหมู่บ้านชาวประมงจริงๆเลยใช่ไหมคะ?

ครับ สถานที่ถ่ายทำอยู่บริเวณรอบนอกหมู่บ้าน ได้ยินแค่เสียงคลื่นและเสียงลมครับ นอกเหนือจากนั้น ก็จะได้ยินเสียงผู้คนทักทาย เสียงเพลงเบาๆ ไม่มีคาเฟ่ด้วยครับ แม้กระทั่งเสียงจักจั่นก็ไม่ค่อยมี เวลาอยู่คนเดียวก็เหงาๆ แต่ได้เจอพวกรุ่นพี่ที่ไม่ค่อยได้พบเจอ ก็รู้สึกฮีลลิ่งครับ

 

สิ่งที่เรียกว่าบรรยากาศ ดูเหมือนจะถูกสร้างโดยผู้คนนะคะ

น่าจะเป็นแบบนั้นครับ ครั้งนี้รู้สึกได้แบบนั้นจริงๆ

 

ตอนที่ดูละคร <Hometown Cha-Cha-Cha> หมู่บ้านกงจินในละครดูเกินจริง และสัมผัสได้ถึงสิ่งที่ละครกระตุ้น

เกินจริงเหรอครับ?

 

เหตุการณ์น่ารักต่างๆของตัวละครที่อัธยาศัยดี ในหมู่บ้านที่ราวกับเทพนิยาย ก็ดูเกินจริงใช่ไหมล่ะคะ และความอบอุ่นที่เกิดขึ้นระหว่างตัวละคร ก็กระตุ้นความรู้สึกของผู้ชมตลอด เป็นการกระตุ้นที่แตกต่างจากละครประเภทอื่น ผู้คนต่างก็อยากสัมผัสความรู้สึกตลกขบขัน ความนิยมของ <Hometown Cha-Cha-Cha> ก็พิสูจน์ได้ในเรื่องนี้ค่ะ

ใช่ครับ คนสามารถดูผลงานที่ช่วยจี้ให้ตรงจุดแบบที่ต้องการได้ ผมคิดว่าละครคือ แฟนตาซีครับ ตอนที่เรียนการแสดง เคยได้ยินคำพูดนี้ครับ “ถ้าทำการแสดงแบบจริงๆ จะเป็นแบบไหน?” เวลาที่นักแสดงแสดงท่าทางตอนหลับบนเวที ถ้าหลับจริงๆ มันก็ไม่น่าสนใจใช่ไหมล่ะครับ ถ้าหลับจริงๆบนเวที ก็ไม่มีความหมายอะไรที่จะดูคนนั้น แต่ว่าถ้านักแสดงมีการกระทำที่พิเศษ เช่น กรน ละเมอ ผู้คนก็จะตลก สนุก และดูการแสดงของนักแสดงคนนั้น ผมคิดว่าละครก็เป็นการรวมช่วงเวลาที่แสนพิเศษที่สุดของตัวละครครับ ดังนั้นเลยคิดว่าละครคือ แฟนตาซีครับ ทุกอย่างในช่วงเวลานั้นสามารถงดงามได้หมด ผมคิดว่าช่วงนี้ ความแฟนตาซีแบบนั้น ค่อนข้างหาได้ยาก และกำลังได้รับความสนใจครับ

 

เทรนด์ช่วงนี้ดูเหมือนจะเป็นแนวตื่นเต้นระทึกขวัญ ดูเหมือนละคร <Hometown Cha-Cha-Cha> กำลังนำเทรนด์ใหม่ แสดงว่ามีสายตาที่เฉียบแหลมตอนที่เลือกรับงานนะคะ

ตอนที่อ่านบทครั้งแรก ข้อความแต่ละคำงดงามมากครับ ผมเองก็อยากเห็นความเป็นธรรมดาทั่วไป เพื่อนนักแสดงพอเห็นละครก็คิดแบบนี้เช่นกันครับ บอกว่าเหมือนดูละครเวทีตอนหนึ่ง หมู่บ้านกงจิน คือเวที, ชาวบ้านกงจินที่ขึ้นแสดงบนเวที ก็เหมือนมาเล่าเรื่องของตัวเอง ส่วนใหญ่ไม่ได้พูดถึงเรื่องการจากลามากนัก ถ้าเป็นแบบนี้ ในฐานะนักแสดงก็น่าจะมีความสุขหรือเปล่า ผมคิดแบบนั้นครับ ทุกตัวละครต่างก็วิ่งไปเพื่อเป้าหมายใช่ไหมล่ะครับ เพื่อที่จะได้สิ่งนั้นมาหรือเอาชนะใจใครสักคน แต่ว่าในละคร <Hometown Cha-Cha-Cha> ได้แนะนำตัวละครแบบใหม่ ถูกใจด้วย และได้เล่าเรื่องของชาวบ้านที่อยู่ร่วมกันด้วย ไม่ได้มีเหตุการณ์อะไรพิเศษ แค่โชว์ให้เห็นท่าทางในชีวิตประจำวันทั่วไปของที่นี่ ตอนนั้นผมอยากจะแสดงละครแบบนั้นครับ

 

“อยากจะยืนอยู่บนเวที

ด้วยภาพลักษณ์ของตัวละครอย่างสมบูรณ์แบบ

เปลี่ยนหมดทั้งน้ำเสียง สำเนียง และท่าทาง”

 

มีความเห็นบอกว่า สีหน้าเป็นผู้ชายที่ดูไม่มีพิษภัย เยอะมากเลยค่ะ ถ้าได้ยินคำว่า ผู้ชายที่ไม่มีพิษภัย ฮงดูชิกจะมีปฏิกิริยาแบบไหนคะ?

“อ่า พูดอะไรจั๊กจี้แบบนั้น!” แล้วลับหลังก็แอบไปพึงพอใจครับ (หัวเราะ)

 

สีหน้าผู้ชายไม่มีพิษภัยเป็นแบบไหนคะ? แม้จะเป็นคำชม แต่สำหรับนักแสดงน่าจะกลายเป็นกรอบ และอาจจะกังวลได้

ใช่ครับ ถ้าเป็นนักแสดง ไม่ว่าใครก็กังวลเรื่องนี้ครับ แม้จะไม่ได้แสดงผลงานมาเยอะ แต่ว่าตอนที่แสดง เคยมีบางคนดูบทบาทที่ผมแสดง แล้วบอกว่า “ไม่โอเค” เหมือนกันครับ ยกตัวอย่างเช่น บอกว่า ‘ไม่เหมือนตัวร้าย’ แน่นอนว่าสิ่งนั้นกลายเป็นกรอบของคนนั้นครับ นักแสดงจะถูกจำกัดกรอบทางใดทางหนึ่ง ต่อให้ลองท้าทายการแสดงด้านอื่นๆ และหลุดจากกรอบเดิมได้ ก็มีจะมีกรอบใหม่เข้ามาอีกครับ เพราะแบบนั้น เลยไม่ได้เกลียดกรอบ หรือไม่ได้คิดว่าเป็นข้อเสียครับ ตอนนี้แค่ชื่นชมบทบาทที่ผมแสดง ก็รู้สึกขอบคุณมากแล้วครับ และแน่นอนว่าต่อไปก็อยากท้าทายบทบาทอื่นๆด้วยครับ

 

ฮันจีพยอง ใน <Start-Up>, ฮงดูชิก ใน <Hometown Cha-Cha-Cha> ได้รับคำชมว่าเป็นตัวละครที่ใจดี และเหมาะกับคิมซอนโฮ รู้สึกกดดันกับบทบาทแสนดีนี้ไหมคะ?

เคยรู้สึกดี แต่ยังไม่เคยรู้สึกกดดันหรืออวดเก่งครับ กังวลว่าจะทำบทบาทในละครได้ไม่ดีมากกว่าครับ ผมกดดันกับสิ่งที่ต้องทำแต่ไม่สามารถทำได้ครับ ตอนที่แสดงละครที่แทฮังโน ผมได้รับทั้งคำชมและคำตำหนิครับ เคยใช้เวลาหลายชั่วโมงใคร่ครวญอย่างหนักด้วยครับ พอได้ลองคิดดูแล้ว มันทำให้เห็นความแตกต่างในการยอมรับสิ่งที่ถูกพูดถึง เป็นการต่อสู้กับจิตใจ ผ่านมา 10 กว่าปีแล้ว ตอนนี้รู้สึกขอบคุณกับการประเมินตัวเองครับ

 

อยู่ที่แทฮังโนมา 10 ปี และเปลี่ยนมาแสดงละครโทรทัศน์ ก็ใช้เวลาอยู่พอสมควร ตอนอยู่บนเวทีละคร กับอยู่ต่อหน้ากล้อง แตกต่างกันมากไหมคะ?

ผู้คนมักจะกล่าวว่า ในส่วนของแก่นแท้การแสดงไม่ต่างกันใช่ไหมล่ะครับ แต่ว่าเทคนิคแตกต่างกันอย่างชัดเจนครับ เพราะความแตกต่างนั้น เลยเคยมีช่วงที่กังวลและลำบากมากครับ เสียงที่เข้าไปในไมค์ กับเสียงที่พูดบนเวทีแตกต่างกัน การแสดงกับฝ่ายตรงข้ามก็แตกต่างกันอย่างชัดเจน ต้องอ่านว่านักแสดงอีกคนตอนนี้กำลังใช้โทนเสียงประมาณไหน และค่อยๆปรับให้เข้ากันครับ เทคนิคการแสดงบนเวทีกับหน้ากล้องแตกต่างกัน, แก่นแท้น่าจะต้องเหมือนกัน…แต่ผมยังบกพร่องอยู่มากครับ

 

โทนเสียงการแสดงละครเวทีกับละครโทรทัศน์แตกต่างกัน ช่วงแรกคงยากมากเลยนะคะ

แตกต่างกันมากเลยครับ คนที่เก่งอาจจะไม่รู้สึกแบบนั้น แต่ผมมีช่วงที่สับสนอยู่บ้างครับ ตอนที่ซ้อมละครเวที บางครั้งก็เสียงจม เพราะงั้นพวกพี่ๆก็จะแซวว่าไม่ได้ยินเสียง แต่มันคือการที่ผมไม่สามารถทำออกมาได้ดีใช่ไหมล่ะครับ แม้ว่าทักษะของผมจะยังไม่สมบูรณ์แบบ จนเกิดเรื่องแบบนั้นบ้าง แต่การแสดงเป็นปัญหาที่ต้องตัดสินใจครับ ผมอยากยืนบนเวทีด้วยภาพลักษณ์ตัวละครที่สมบูรณ์แบบ เปลี่ยนตั้งแต่หัวจรดเท้า น้ำเสียงหรือสำเนียง เปลี่ยนท่าทางทั้งหมด ดูเหมือนโลภมากเลยใช่ไหมครับ แต่ว่า พวกเราค่อนข้างยุ่ง และต้องไปมาระหว่างเวทีกับสถานที่ถ่ายทำ จึงกลายเป็นปัญหาที่ต้องตัดสินใจครับ

 

หมายถึงตัดสินใจเลือกแสดงให้เหมาะกับสถานที่ใช่ไหมคะ?

ครับ ตอนนี้ที่พวกเราพูดคุยกันอยู่ในสตูดิโอ ถ้าถ่ายทอดออกมาด้วยวิธีอื่น ก็อาจจะต้องดึงอารมณ์มากขึ้นใช่ไหมล่ะครับ เพราะงั้น ถ่ายทอดออกมานิดหน่อยก็ได้ ผมพยายามคิดถึงคำเดียวกันให้แตกต่างเล็กน้อย ถ้าเรียกสิ่งนั้นว่า เทคนิค คงรู้สึกกดดันครับ ผมคิดว่าต้องพูดออกไปอย่างไร ถ่ายทอดออกไปอย่างไรให้ได้ประสิทธิภาพ มันไม่ได้เป็นแบบนั้นทุกครั้งที่แสดง ถ้าจับทิศทางได้ดี ก็สามารถดำเนินไปได้อย่างไหลลื่นครับ โดยเฉพาะ ถ้าฟังโทนเสียงของฝ่ายตรงข้าม ถ้าผมพูดให้เข้ากับโทนเสียงนั้น ผมคิดว่าบทพูดจะเป็นไปอย่างธรรมชาติน่ะครับ (หัวเราะ) ในทางตรงกันข้าม ก็มีคนที่สามารถเปลี่ยนโทนเวลาแสดงละครเวที กับเวลาถ่ายทำละครได้ทันทีเหมือนกันครับ

 

ที่บอกว่าไม่สามารถเปลี่ยนเสียงโทนการแสดงได้อย่างรวดเร็ว หมายถึงยังคงหลงเหลือกลิ่นอายของตัวละครนั้นใช่ไหมคะ?

เมื่อก่อนผมก็เคยมีความคิดที่อวดดีมากครับ ผมคิดว่า ‘เราสามารถเปลี่ยนอารมณ์ได้เร็ว ตัวละครที่แสดงตอนนี้สามารถถอดออกได้เลย’ แต่ไม่เป็นแบบนั้นเลยครับ (หัวเราะ) ยังมีพฤติกรรมของตัวละครหลงเหลืออยู่ ผมเองก็เคยพูดเหมือนฮงดูชิกกับแม่โดยไม่รู้ตัวเหมือนกันครับ เมื่อก่อนก็เคยใช้สำเนียงที่ไม่เคยใช้ด้วยครับ ตอนที่แสดงบท ซอนซังแท ในละคร <Good Manager> ผมใช้ชีวิตกับบทนั้นอยู่หลายเดือน ตอนถ่ายทำจบ ก็ยังติดการพูดตะกุกตะกักมาอยู่เลยครับ (หัวเราะ)

 

ตัวละครที่แสดง สลักอยู่บนตัวคุณเหมือนวงปีต้นไม้นี่เอง

ครับ และบางทีก็รู้สึกถึงวงปีอันนั้นที่หลุดออกมาด้วยครับ ตอนที่สถานการณ์เร่งด่วน ก็จะไม่มีเวลาให้คิด ถ้ามีเวลาน้อย ก็จะรวบรวมด้านต่างๆของตัวละครที่สลักอยู่บนตัวผม แต่ว่าถ้าทำแบบนั้น ก็ถือว่าล้มเหลวครับ เพราะฉะนั้น ผมจะคุยกับผู้กำกับและสร้างตัวละครขึ้นมาใหม่อีกครั้ง

 

ช่วงนี้เป็นอย่างไรบ้างคะ? ไม่มีเวลาพักผ่อนเลยใช่ไหมคะ?

ผมมีชีวิตประจำวันที่ยุ่งมากๆแต่ก็รู้สึกขอบคุณครับ ตอนนี้ถ่ายทำละคร <Hometown Cha-Cha-Cha> จบแล้วครับ ที่ยุ่งก็เพราะละคร ตอนนี้ก็น่าจะยุ่งอีกครับ (หัวเราะ)

 

แม้ว่างานเยอะจะเป็นเรื่องดี แต่ก็เหนื่อยใช่ไหมคะ คุณควรทำงานโดยเว้นพักบ้างไม่ใช่เหรอคะ?

ครับ แต่ว่าถ่าย <Hometown Cha-Cha-Cha> ไม่เหนื่อยเลยครับ เพราะว่าผู้กำกับถ่ายไวมากๆครับ เป็นคนที่ชัดเจนกับการเข้างานเลิกงาน และก็เป็นคนที่สนุกสนานมากครับ ตอนที่ถ่ายทำ ไม่เคยสร้างความเครียดให้ใครเลย จะพูดแบบนุ่มนวลตลอดครับ ผู้กำกับเคยพูดว่า “ตอนนี้คุณซอนโฮน่าจะเหนื่อย แต่ก็ยังหัวเราะได้อยู่แฮะ?” ตอนนั้นผมกลับมาจากถ่ายทำ <2 Days & 1 Night> แล้วโซเซอยู่พักหนึ่งครับ เพราะว่าทั้งขี่ม้า ทั้งลงน้ำน่ะครับ แต่ว่า ผู้กำกับเองก็นั่งตัดต่อเพื่อคนอื่นทั้งคืนด้วย ถ้าผมบอกว่าเหนื่อย หรือทำหน้าคิ้วขมวด มันก็ไม่ได้ใช่ไหมล่ะครับ ต่อให้เหนื่อยก็อยากจะหัวเราะ และพูดคุยกันครับ ในระหว่างที่ถ่ายทำ ไม่มีเรื่องที่ทำให้ร่างกายเหนื่อยล้า และไม่ได้รับความเจ็บปวดทางด้านจิตใจด้วยครับ เป็นการฮีลลิ่งมากๆครับ

 

ไม่ใช่เพียงผู้ชมละคร <Hometown Cha-Cha-Cha> เท่านั้น แต่คนทำละครก็ฮีลลิ่งเหมือนกันสินะคะ

อันนี้คือ TMI ครับ ตอนที่เริ่มถ่ายทำ ไม่ได้สนใจเรื่องเรทติ้งเลย ผมคิดว่าได้มาเจอผู้คน และถ่ายทำอย่างสนุกสนานก็มีความสุขแล้ว ผมอยากได้แค่นั้นครับ แต่ว่า ทั้งสถานที่ถ่ายทำ และผู้คน ทุกอย่างฮีลลิ่งหมดเลยครับ เบื้องหน้ามีคลื่นสาด มีเสียงหัวเราะและพูดคุยของผู้คน สนุกมากๆครับ ความโลภในฐานะนักแสดง ดูห่างไกลออกไป และได้ดื่มด่ำกับความสนุกสนานครับ

 

คงต้องไปดูเบื้องหลังการถ่ายทำแล้วค่ะ มีตัวละครที่น่าสนใจเยอะเลยค่ะ เช่น นักแสดงคิมมินซอ ที่รับบท นักเรียนมัธยมต้น โอจูริ

มินซอเหมือนอัจฉริยะทางการแสดงเลยครับ ตอนที่เห็นครั้งแรกตกใจมากเลยครับ เอาความมั่นใจมาจากที่ไหนทั้งที่ยังเด็กอยู่เลย…ปกติเวลาอยู่กับผู้ใหญ่ ก็จะรู้สึกกลัวใช่ไหมล่ะครับ ผมมีความมั่นใจและเซ้นส์เท่ากับมินซอตอนอายุเท่านั้นไหมนะ? ก่อนถ่ายทำ ผู้กำกับพูดไว้แบบนี้ครับ “คุณซอนโฮ อย่าถูกมินซอเบียดเรื่องการแสดงนะ เขาเก่งมากครับ” เป็นเพื่อนที่น่าทึ่งจริงๆครับ

 

คุณซอนโฮตอนอายุเท่ามินซอ เป็นอย่างไรคะ?

เป็นคนเก็บตัวสุดๆครับ แม้จะหัวเราะและพูดคุยกับเพื่อน แต่ก็ขี้อายกับคนแปลกหน้าครับ ผมในตอนนั้นแสดงไม่ได้อย่างแน่นอนครับ เป็นเด็กที่ถ้าออกไปยืนหน้าข้างหน้าก็จะไม่สบายใจและพูดไม่ออกครับ น่าจะเพราะเหมือนแม่ ขี้อายมากและก็คิดมากด้วยครับ

 

ในบรรดานักแสดง มีคนที่ชอบเก็บตัวเยอะมากค่ะ ฉันอยากรู้ว่า ถ้าเป็นคนเก็บตัว ทำอย่างไรถึงสามารถแสดงบนเวทีได้คะ?

ผมเองก็คิดเรื่องนี้เหมือนกันครับ นักแสดงคนนั้นมีมุมแบบนั้นด้วยเหรอ? ไม่ว่าใครก็จะมีเสน่ห์และเอกลักษณ์เฉพาะตัว สามารถใช้คำพูดที่ใหม่ๆได้ ผมก็สงสัยว่า คนที่ชอบเก็บตัวแบบนั้นแสดงโดยใช้ประสบการณ์แบบนั้น เลือกคำพูดแบบนั้น สีหน้าแบบนั้นได้อย่างไร?  ประสบการณ์เป็นสิ่งสำคัญสำหรับนักแสดง เหมือนผมที่ได้รับอิทธิพลจากครอบครัวและเพื่อน อิทธิพลนั้นก็ส่งผลกับป่าการแสดงของผม ถ้าไม่มีประสบการณ์ ก็ต้องลองหาประสบการณ์ อาจจะค้นคว้า หรือศึกษา แล้วสร้างป่าที่อุดมสมบูรณ์ของตัวเองครับ เพราะเป็นคนเก็บตัว เลยอ่อนไหวกับอารมณ์ของผู้คน อ่อนไหวต่อคำพูด และอาจจะทำให้มีต้นไม้ที่หลากหลายในผืนป่า

 

การแสดงเป็นเหมือนการรักษาเยียวยาสำหรับคุณซอนโฮเลยค่ะ

ครับ การแสดงคือสิ่งที่เยียวยาผมครับ การแสดงคือการโชว์สิ่งที่ผมได้สัมผัสมาจากประสบการณ์ การแสดงของแต่ละคนก็จะแตกต่างกันไปครับ ผมคิดว่าการแสดงคือการสื่อสารระหว่างผมกับผู้กำกับครับ ถ้าผู้กำกับบอกว่า อยากให้การแสดงเป็นสีฟ้า ก็จะมีคนที่เข้าใจถึงจุดประสงค์ของผู้กำกับ ความรู้สึกเกี่ยวกับสีฟ้า แต่ละคนก็จะแตกต่างกัน แต่นักแสดงจะแสดงออกจากความรู้สึกของตัวเองใช่ไหมล่ะครับ อันนั้นแค่แสดงให้ถูกกับจุดประสงค์ของผู้กำกับครับ การสื่อสารของทั้งสองคนดีขนาดไหน เป็นเรื่องที่สำคัญ ตอนที่ผมคิดหาวิธีสื่อสารเรื่องการแสดง ทักษะการเข้าสังคมของผมก็ดีขึ้นครับ อีกทั้งการแสดงเป็นสิ่งเดียวที่ผมจริงจังมากครับ เพราะแบบนั้น การแสดงคือสิ่งที่ฮีลลิ่งสำหรับผม

 

“การพูดกันเองของฮงดูชิก เพื่อความสบายใจครับ

ไม่ใช่ว่าฮงดูชิกจะพูดคำยกย่องไม่ได้

แต่ตั้งใจที่จะไม่พูดครับ”

 

เคสที่สามารถสื่อสารกับผู้กำกับและนักเขียนได้ดี คือ <Hometown Cha-Cha-Cha> ใช่ไหมคะ?

เขาให้อิสระผมเยอะมาก และผมเองก็ใส่ใจ เลยเข้ากันได้ดีครับ คุณนักเขียนได้เปิดให้ผมลองแบบอื่นด้วยครับ ผู้กำกับเองก็เปิดรับอะไรที่มันสนุกด้วยครับ เป็นผลงานที่ทำร่วมกัน สามารถลองแสดงในรูปแบบอื่นได้ และเปิดรับความคิดเห็นครับ

 

แต่ว่าทำไมฮงดูชิกถึงพูดเป็นกันเองคะ? ตอนที่พูดเป็นกันเอง ก็ไม่ให้เวลาโกรธ เลยโกรธไม่ได้ค่ะ

ตอนที่ผมอ่านบทก็คิดเหมือนกันครับ เพราะถ้าอ่อนไหวกับเรื่องนี้ ก็อาจจะอ่อนไหวได้ครับ คุณนักเขียนช่วยขัดเกลาคำพูดเป็นกันเองอย่างดี ผมเลยคิดว่าสามารถทำได้ครับ ถ้ามันอ่อนไหวนิดหน่อย ผมก็ปรึกษากับคุณนักเขียน และปรับแก้ครับ ลองคิดดูสิครับว่าคำพูดเป็นกันเองมีความหมายอย่างไรกับฮงดูชิก…

 

มีความหมายอย่างไรคะ?

อืม, ผมคิดว่า การพูดเป็นกันเอง เป็นหน้ากากของหัวหน้าฮง เป็นหน้ากากที่จะยืนหยัดและมีชีวิตอยู่ต่อไป เขาว่ามนุษย์ทุกคนสวมหน้ากากใช่ไหมล่ะครับ ผมเลยคิดว่า ฮงดูชิกใช้หน้ากากที่เรียกว่า การพูดเป็นกันเอง เพื่อให้ดูจริงใจ และไม่อยากใช้ชีวิตเหมือนเมื่อก่อนอีกต่อไปครับ ก่อนหน้านี้เขาเป็นคนที่คิดคำนวณทุกอย่าง และสร้างความเจ็บปวดให้คนรอบตัวเพราะตัวเอง เลยอยากขังส่วนหนึ่งของตัวเองไว้ ซ่อนด้านมืด เปิดเผยด้านสดใส และบอกกับตัวเองว่าไม่เป็นไร พอพูดแบบนี้แล้วดูหน้าไม่อายใช่ไหมครับ ฮงดูชิกคิดว่าเวลาพูดอย่างจริงใจ คือการพูดแบบเป็นกันเองครับ เรามักจะใช้คำพูดยกย่องเวลาพูดเรื่องเคร่งเครียด หรือซับซ้อนกัน เพราะแบบนั้น การพูดกันเองของฮงดูชิกก็เพื่อความสบายใจครับ ไม่ใช่ว่าฮงดูชิกพูดยกย่องไม่ได้ แต่ตั้งใจที่จะไม่พูดครับ พอเป็นหัวหน้าฮง ก็ยิ่งไม่มีดูชิกในอดีตอีกต่อไป และคิดว่าท่าทางตอนนี้ที่พูดเป็นกันเองแบบหน้าไม่อาย คือตัวเองครับ

 

การพูดกันเอง เป็นกลไกป้องกันตัวของฮงดูชิกใช่ไหมคะ?

ครับ ใช่แล้วครับ เมื่อมีช่วงเวลาที่ขัดแย้ง กลไกป้องกันตัวก็จะพังลง ตอนที่เจอกับคุณพ่อของฮเยจินก็ใช้คำพูดยกย่องครับ ผมไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ๆ ถึงใช้คำพูดยกย่อง ผมเลยโทรคุยกับคุณนักเขียนครับ พอได้ยินจุดประสงค์ของคุณนักเขียน ผมเลยตัดสินใจเป็นฮงดูชิกคนเดิมตอนเจอกับคุณพ่อฮเยจิน เพราะแบบนั้น “ผมทำไม่ได้ครับ ผมเป็นเพื่อนฮเยจินครับ” จะพูดคำยกย่องเวลาที่พูดปฏิเสธครับ ผมพูดคุยกับคุณนักเขียนด้วยวิธีแบบนั้น และสร้างตัวละครขึ้นมาครับ

 

หัวหน้าฮง เป็นคนที่คาดไม่ถึงจริงๆค่ะ ว่าจะมีด้านน่าสงสารเช่นนี้

ครับ มีด้านที่มืดหม่นอยู่เยอะครับ เพราะแบบนั้นเลยร้องไห้เยอะมากครับ แต่ว่าจริงๆก็ไม่ใช่ความผิดของตัวเอง แต่ก็อาจจะถูกมองว่า คนนี้ไม่ดี ก็ได้ เพราะแบบนั้นเลยหนี ต้องอยู่ให้ได้ แต่ไม่รู้วิธี เลยใช้หน้ากาก และปรากฏตัวเหมือนเป็นคนอื่นครับ

 

การหนี ก็หมายถึง อยากมีชีวิตอยู่ใช่ไหมคะ

ใช่ครับ อยากมีชีวิตต่อไป เพราะแบบนั้นเลยใส่หน้ากาก และอีกหลากหลายวิธี เกี่ยวกับการพูดเป็นกันเอง นักแสดงแต่ละคนก็มีการตีความที่แตกต่างกันครับ บางคนอาจจะไม่ได้มองว่าเป็นกลไกป้องกันตัว แต่ก็คิดว่าพูดเป็นกันเองก็ไม่เป็นไร คนส่วนใหญ่มักจะ “อะไรเนี่ย ทำไมพูดเป็นกันเอง งั้นฉันก็ต้องพูดเป็นกันเองเหมือนกันสิ” และกลายเป็นว่าลดกำแพงระหว่างกันลง แม้ว่าอาจจะดูไม่มีมารยาท แต่ก็คิดว่าเป็นวิธีที่โอเคเวลาที่อยากจะเข้าหาใครนะครับ

 

แม้จะเป็นงานที่เริ่มต้นเพราะความชอบ แต่ถ้ามันไม่ราบรื่น หรือมีความคิดอยากจะหยุด จะมีวิธีรับมืออย่างไรบ้างคะ? อยากถามความเห็นคนที่ทำงานในเส้นทางเดียวมามากกว่า 10 ปีค่ะ

แม้ผมจะไม่กล้าบอกใครให้อดทน แต่ผมก็ผ่านความยากลำบากมาพอสมควร ผมอดทนและก็สนุกกับมัน ตอนที่รู้สึกลำบาก ก็เดิน 5 ชั่วโมง ทุกข์ระทมอยู่ 3 ชั่วโมงบ้าง 4 ชั่วโมงบ้าง เวลาที่ผมรู้สึกเหนื่อยตอนอยู่คนเดียว ก็จะมองบทละคร และคิดว่า ทำไมทำไม่ได้นะ…และก็หาวิธีครับ พอลองนึกถึงแล้ว เป็นช่วงเวลาที่ร้อนแรงจริงๆ ผมจดจำช่วงเวลานั้นได้ดี เจ็บปวดง่าย อดทนอย่างมีสติ ‘ฉันจะไม่เจ็บปวด ฉันจะเป็นแบบนั้นไม่ได้’ ไม่สามารถซ่อนตัวตนแบบนั้นได้ครับ ต้องเผชิญกับความเจ็บปวดและข้อบกพร่องด้วยความสุขุม ถ้ามันยากลำบากเพราะว่าไม่มีเงิน เราก็ต้องยอมรับว่าไม่มีเงิน กำลังลำบาก และต้องหาบางสิ่งที่สามารถทำออกมาได้ดีที่สุดครับ อดทนแม้จะมีชีวิตที่หาเงินจากงานพาร์ทไทม์ได้แค่วันละ 18,000 วอน ได้กินข้าวแค่มื้อเดียว เมื่อเวลาผ่านไป ก็จะมีเรื่องดีๆเช่นกันครับ ไม่ได้มีแค่เรื่องที่ไม่ดีอย่างเดียวครับ

 

อ่า เรื่องที่อ้างอิงนั้น ไม่ใช่เรื่องที่กำลังพูดกันนะคะ

อ่า ผมเองก็…อ่า ผมพูดเรื่องของตัวเองเมื่อก่อนครับ (หัวเราะ)

 

ที่มา https://www.smlounge.co.kr/arena/article/49400

Translation : My Kimseonho Thailand

#kimseonho

#김선호

#คิมซอนโฮ

Share this:

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *